"Noah" หรือในชื่อไทย (สุดสยอง) ว่า "โนอาห์ มหาวิบัติวันล้างโลก" ว่าด้วย "โนอาห์ (รัสเซลล์ โครว์)" ผู้ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ต่อเรือขนาดยักษ์เพื่ออพยพสิ่งมีชีวิตที่ถูกเลือก ก่อนที่พระองค์จะชำระล้างความบาปบนพื้นโลกด้วยมหาอุทกภัยครั้งใหญ่
ทั้งนี้ การหยิบเรื่องของความศรัทธาและศาสนามาปรุงแต่งเป็นภาพยนตร์นั้นเชื่อว่าผู้สร้างตระหนักดีถึงกระแสวิจารณ์ที่จะรุนแรงกว่าภาพยนตร์ประเภทอื่นๆ หลายเท่าตัว โดยเฉพาะเมื่อ "ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้" ผู้กำกับและเขียนบทซึ่งถนัดนักในการเล่นกับจิตใจของมนุษย์ (ดูได้จากงานชิ้นก่อนอย่าง "Black Swan", "The Wrestler") เลือกที่จะเพิ่มบทบาทในส่วนของ "อิลา (เอ็มม่า วัตสัน)" เด็กสาวที่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวโนอาห์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปในที่สุด
ส่วนนี้เองที่เข้ามาตอกย้ำความสุดโต่งของโนอาห์ในภายหลัง เปลี่ยนชายผู้ดำรงตนในความชอบธรรมตามพระคัมภีร์ให้กลายเป็นมนุษย์ไร้จิตใจไปเสียอย่างนั้น และก็นำมาซึ่งความไม่พอใจจากชาวมุสลิมและคริสต์ ทั้งประเด็นการบิดเบือนคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลและการเสนอภาพของผู้พยากรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในคัมภีร์อัลกุรอ่าน จนโดนห้ามฉายในปากีสถาน, บาห์เรน, กาตาร์, อินโดนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แม้ทีมสร้างจะยืนยันว่าโนอาห์เวอร์ชั่นนี้เพียงแต่นำ "เค้าโครง" จากพระคัมภีร์มาเท่านั้น แต่ความละเอียดอ่อนของจิตใจในด้านความเชื่อและความศรัทธานั้นยากที่จะห้ามได้
อย่างไรก็ตาม ความศรัทธาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ทว่าการตีความที่แตกต่างกันออกไปอาจเป็นปัจจัยที่น่ากลัวยิ่งกว่า เมื่อมองกลับที่โนอาห์ซึ่งยึดมั่นในคำบัญชาที่ได้รับ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพียงการตีความที่บิดเบือนไปหรือเปล่า และนั่นก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดและเคลือบแคลงใจจากคนรอบข้างทั้งต่อตัวโนอาห์เองและต่อพระเจ้า
ครึ่งแรกของหนังปูพื้นความเป็นมาของมนุษย์และความบาปที่ยังอยู่ในสายเลือดรุ่นสู่รุ่นจนแอบเห็นด้วยกับนโยบายการกวาดล้างไปชั่วหนึ่ง และโอนเอียงคิดไปว่านี่คือหนังเคร่งศาสนาที่ต้องการโน้มน้าวและเพิ่มพูนความเกรงกลัวต่อการทำบาป กระทั่งพาร์ทดราม่าจัดๆ ในครึ่งหลังที่บีบคั้นความรู้สึกคนดูได้พอๆ กับตัวละครหลัก ตามมาด้วยสารของหนังที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อการมีชีวิต
เมื่อมนุษย์ได้รับสิทธิในการถูกสร้างขึ้นมาแล้ว เหตุใดจึงไม่มีสิทธิในการเลือกว่าจะมีชีวิตหรือไม่ และที่แย่กว่าอาจเป็นการตัดสินชีวิตคนอื่นโดยไม่มีการหยิบยื่นโอกาสให้แม้แต่นิด
ทั้งนี้ทั้งนั้น มนุษย์ก็ควรจะถามตัวเองกลับเช่นกันว่าการใช้ประโยชน์จากร่างกายและสมองที่ได้รับทุกวันนี้คู่ควรต่อการมีชีวิตหรือไม่
หากหวังจะดูสเปเชียลเอฟเฟ็กต์สวยๆ แอ๊กชั่นมันๆ และเนื้อเรื่องที่เสพง่ายเคี้ยวอร่อย อาจไม่เหมาะที่จะสูญเวลาถึง 2 ชั่วโมงเศษไปกับหนังเรื่องนี้
"แต่ถ้าหวังตั้งคำถามและหาคำตอบให้ชีวิตแนะนำว่าควรดู"
หน้า 22 มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 23 เมษยน 2557