ประกาศเตือนครั้งสุดท้าย ปลดระวางวินโดวส์เอ็กซ์พี
 


ประกาศเตือนครั้งสุดท้าย ปลดระวางวินโดวส์เอ็กซ์พี


ประกาศเตือนครั้งสุดท้าย ปลดระวางวินโดวส์เอ็กซ์พี


นับถอยหลังไมโครซอฟท์ปล่อยมือวินโดวส์เอ็กซ์พี XP และออฟฟิศ Office 2003 หลังประกาศเลิกพัฒนา ทำให้เสี่ยงต่อภัยออนไลน์รูปแบบใหม่ๆ เผยผลสำรวจรอบ 12 เดือน ผู้ใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พี ในไทยลดลง อยู่ที่ 25.32% คิดเป็นคอมพิวเตอร์พีซีราว 420,471 เครื่องในกลุ่มผู้ใช้ประเภทเอสเอ็มอี

หลังจากวันที่ 8 เม.ย. เป็นต้นไป ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 30 วัน ไมโครซอฟท์ก็จะยุติการพัฒนาอัพเดตด้านความปลอดภัย การปรับปรุงแก้ไขคุณสมบัติและการช่วยเหลือหรือให้บริการทางเทคนิคสำหรับวินโดวส์เอ็กซ์พี และออฟฟิศ 2003 แล้ว

ซึ่งเท่ากับว่าธุรกิจที่ยังคงใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พีอยู่นั้น จะไม่ได้รับการอัพเดตใดๆ เพื่อปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัส สปายแวร์ และซอฟต์แวร์อันตรายต่างๆ และที่สำคัญการไม่ได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยียังจะส่งผลเสียต่อธุรกิจ หากมีปัญหากรณีระบบไม่ทำงานหรือปัญหาความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์

โดยขณะนี้ ยังคงมีองค์กรภาคธุรกิจรวมถึงผู้ใช้งานอีกนับล้านรายทั่วเอเชียแปซิฟิก ที่ยังคงใช้งานเอ็กซ์พี อันมีอายุกว่า 12 ปี และชุดโปรแกรมออฟฟิศอายุ 10 ปีอยู่ โดยเอ็กซ์พี เป็นระบบปฏิบัติการที่ถือว่ามีอายุยืนยาวกว่าวินโดวส์เวอร์ชั่นอื่นทั้งหมด

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผู้ใช้เหล่านี้กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของการจู่โจม จากการคุกคามที่มีความซับซ้อนและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน รวมไปถึงภัยจากมัลแวร์ต่างๆ ซึ่งล้วนบั่นทอนประสิทธิภาพ และความสามารถในการทำงานเชื่อมโยงกัน

ผลการสำรวจของ  StatCounter ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีจำนวนผู้ใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พี ในประเทศไทยลดลง อยู่ที่อัตราส่วน 25.32% หรือคิดเป็นคอมพิวเตอร์พีซีราว 420,471 เครื่องในกลุ่มผู้ใช้ประเภทเอสเอ็มอี ในขณะที่วินโดวส์ 7 อยู่ที่ 52.62% และวินโดวส์ 8 มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 4.88%

ขณะที่รายงาน Security Intelligence Report (Vol. 15) ฉบับล่าสุดของไมโครซอฟท์ พบว่าวินโดวส์เอ็กซ์พี  SP3 มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากกว่าวินโดวส์ 8 ถึง 5.68 เท่า ซึ่งเท่ากับว่าคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พี มีโอกาสในการโดนมัลแวร์จู่โจมสูงถึง 82.4% นอกจากนั้น ยังเสี่ยงต่อการทำธุรกิจในอนาคต เนื่องจากเอ็กซ์พีไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยหลายอย่าง เช่น ความสามารถในการเชื่อมโยงกับคลาวด์อย่างไร้รอยต่อเพื่อจัดเก็บเอกสาร

นายรชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และเซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เอ็กซ์พีและออฟฟิศ 2003 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้ใช้นับร้อยล้านคนทั่วโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป 12 ปี เทคโนโลยีก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ยกตัวอย่างผู้ใช้ก็คงไม่สามารถใช้มือถือที่มีอายุ 12 ปีอยู่ได้ ทั้งเอ็กซ์พีและออฟฟิศ 2003 จึงไม่เพียงพอต่อความ ต้องการในโลกสมัยใหม่อีกต่อไป

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัววินโดวส์เอ็กซ์พี เมื่อเดือน ต.ค.2544 ขณะที่โน้ตบุ๊กสมัยนั้นทั้งหนา หนัก และยังมีอายุแบตเตอรี่สั้นและมีราคาที่สูงมาก นอกจากนั้นจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในปี 2544 คิดเป็นอัตราส่วนเพียง 8% ของประชากรโลก ซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับ 39% ในปัจจุบัน นอกจากนั้นในสมัยก่อนคอมพิวเตอร์พกพายังมีแค่พีดีเอ (PDA) ซึ่งไม่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้

“การหยุดใช้วินโดวส์ เอ็กซ์พี ไม่ใช่เป็นแค่การอัพเกรดไปสู่ระบบปฏิบัติการใหม่ แต่ยังเป็นการปกป้องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากภัยร้ายบนโลกไซเบอร์อีกด้วย เนื่องจากเอ็กซ์พีไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อการใช้ชีวิตแบบออนไลน์และการใช้งานนอกสถานที่ ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน”

ทั้งนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการยุติการพัฒนาเอ็กซ์พี ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว 2 เครื่องมือใหม่ที่ใช้งานได้ฟรี ได้แก่ เครื่องมือฟรีเพื่อการย้ายจากวินโดวส์ พร้อมให้ดาวน์โหลดได้แล้วที่  www.windowsxp.com รวมทั้งเว็บไซต์ที่ช่วยระบุระบบปฏิบัติการอย่างอัตโนมัติ  AmIrunningXP.com สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่แน่ใจว่าระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่เป็นเวอร์ชั่นใด หากตรวจพบว่ายังใช้วินโดวส์เอ็กซ์พีอยู่ ก็จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับการยุติการสนับสนุนของวินโดวส์เอ็กซ์พี พร้อมด้วยข้อแนะนำในการอัพเกรดไปสู่ระบบปฏิบัติการที่ทันสมัย.



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.