ผลสำรวจระบุ คนไทยมีพฤติกรรมทางเพศเสี่ยงสูง หวั่น เอดส์ พุ่ง!
 


ผลสำรวจระบุ คนไทยมีพฤติกรรมทางเพศเสี่ยงสูง หวั่น เอดส์ พุ่ง!


ผลสำรวจระบุ คนไทยมีพฤติกรรมทางเพศเสี่ยงสูง หวั่น เอดส์ พุ่ง!

สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยคนไทยยังมีพฤติกรรมสุขภาพทางเพศเสี่ยงสูง ทั้งนอกใจแฟน มีกิ๊ก ร้อยละ 28 เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่แฟน โดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย หวั่นผู้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูง ระบุผู้ติดเชื้อเอชไอวียังได้รับการรังเกียจจากสังคม

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 56 ภก.เชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสเอชไอวี ช่องทางหลักการติดต่อถ่ายทอดเชื้อนี้มากที่สุด กว่าร้อยละ 84 คือ ทางการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีเชื้อในร่างกายกับบุคคลทั่วไป ทั้งระหว่างชายกับหญิง ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง ทั้งโดยทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และการใช้ปากกับอวัยวะเพศคู่นอนที่มีเชื้อเอชไอวี ขณะนี้โรคเอดส์ยังไม่มียารักษาให้หายขาด มีเพียงยาต้านไวรัสที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อในร่างกาย และลดการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเท่านั้น และต้องกินยารักษาไปตลอดชีวิต

จุดอ่อนหรือจุดเปราะบางที่ผ่านมา คือ ประชาชนยังคงมีพฤติกรรมสุขภาพทางเพศเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคู่ผลเลือดต่างในคู่สามีและภรรยา ส่งผลให้อัตราการการเกิดโรคเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในแต่ละปี มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ลดลงตามเป้าหมายที่กำหนด การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ในเรื่องโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังไม่มีความสม่ำเสมอและทั่วถึง มักกระทำในช่วงวันรณรงค์เท่านั้น ส่งผลให้ไม่เกิดความตระหนักที่มากเพียงพอในสังคม ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การเปลี่ยนคู่นอนและไม่รู้สถานะของการติดเชื้อ เพราะยังไม่ได้ตรวจเลือด เยาวชนมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น อายุเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ลดลง อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ส่วนการเข้าถึงถุงยางอนามัยยังไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป ผู้ใหญ่เองมองว่าการส่งเสริมการเข้าถุงยางอนามัยเป็นดาบสองคม ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและสมควรต้องได้รับการปรับทัศนคตินี้ ขาดแผนยุทธศาสตร์เอดส์ในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัดที่เชื่อมโยง และมีส่วนร่วมผูกพันในการปฏิบัติกับองค์กรทุกภาคส่วน

ในช่วงปี 2555-2559 ประเทศไทยจึงมุ่งสู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ โดยดำเนินการใน 3 ประเด็น คือ ไม่มีการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่มีการตายเนื่องมาจากเอดส์ และไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ ดังนั้นหน่วยงานได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับเรื่องเอชไอวีและเอดส์ โดยการสำรวจทางระบบออนไลน์ และสำรวจจากกลุ่มเป้าหมายในการจัดรณรงค์โรคเอดส์ ช่วงวันที่ 1-30 พ.ย. 2556 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 200 ราย พบว่า

1. ด้านพฤติกรรม ดูออกว่าคนที่มีเซ็กซ์ด้วย เคยมีเซ็กซ์กับคนอื่นมาก่อน ร้อยละ 52 มั่นใจว่าคู่ของตนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเซ็กซ์กับคนอื่น ร้อยละ 31 มั่นใจว่าจะมีเซ็กซ์กับคนๆ เดียว ร้อยละ 62 เคยมีเซ็กซ์แบบสอดใส่กับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนหรือคนรัก โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 29 ปฏิเสธการมีเซ็กซ์เสี่ยงแบบไม่ป้องกันได้ตลอดทุกครั้ง ร้อยละ 54 มีถุงยางอนามัยเมื่อต้องการใช้ทุกสถานการณ์ร้อยละ 47 เคยใช้เข็มฉีดสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น ร้อยละ 9 และเคยไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 56

2. ด้านการรักษา ทราบข้อมูลว่าปัจจุบันมียาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาของคนไทย ร้อยละ73 ทราบว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ที่กินยาต้านไวรัสรักษาอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง จะช่วยชะลอการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 83 ทราบว่าผู้ป่วยที่กินยาต้านไวรัสรักษาอยู่จะช่วยป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้ ร้อยละ 39

3.ด้านการรังเกียจและตีตรา พบว่า หากติดเชื้อเอชไอวีจะยอมบอกคนในครอบครัว ร้อยละ 77 ผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อที่ตนรู้จักคือ คนในครอบครัว เพื่อนสนิท รวมกันร้อยละ 9 เป็นคนรู้จักถึง ร้อยละ 49 ถ้าทราบว่าคนที่รู้จักติดเชื้อเอชไอวีจะเดินหนีหรืออยู่ห่างๆ ร้อยละ 14 รู้สึกรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวีร้อยละ 2 รังเกียจผู้ป่วยเอดส์ ร้อยละ 4 และถ้ามีบริการตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวีฟรีจะไปตรวจทันที ร้อยละ 75

"ภาคธุรกิจและภาคประชาชนในส่วนภูมิภาค ควรได้ตระหนักถึงความจำเป็นต้องขจัดปัญหาเอชไอวีและเอดส์ โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์นี้ มุ่งพลิกสถานการณ์การตอบสนองและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเร่งรัดการต่อสู้กับปัญหาเอชไอวีและเอดส์บรรลุผลให้เป็นศูนย์ สู่ 3 . คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา" ภก.เชิดเกียรติ กล่าว.

 



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.