แฉ! เตรียมปั่นกระแส ยาปลอม กดดันแก้กฎหมายไทย
 


แฉ! เตรียมปั่นกระแส ยาปลอม กดดันแก้กฎหมายไทย


แฉ! เตรียมปั่นกระแส ยาปลอม กดดันแก้กฎหมายไทย

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน แฉสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ พยายามปั่นกระแสยาปลอม เพื่อกดดันให้แก้กฎหมายไทยให้คุ้มครองผลิตภัณฑ์บริษัทยาข้ามชาติ แนะหน่วยงานต่างๆ พิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจเข้าร่วม ระบุ หลายปีที่ผ่านมา บริษัทยาข้ามชาติพยายามใช้กลยุทธ์ เพื่อขยายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้กว้างขวาง

..กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน(FTA Watch) เปิดเผยว่า วันนี้สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (United States Patent and Trademark Office) จะจัดงานแถลงข่าว เพื่อแนะนำโครงการรณรงค์ "ยาปลอมเป็นภัยถึงชีวิต (Fake Drugs Kill)" นั้น เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจะแก้กฎหมายไทย เพื่อคุ้มครองผลิตภัณฑ์ของบริษัทยาข้ามชาติ

โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยาข้ามชาติพยายามใช้ทุกวิถีทางในการผูกขาด ทำกำไรผ่านการเจรจาเอฟทีเอ เมื่อการเจรจาเอฟทีเอไม่คืบหน้าก็ใช้การกดดัน เพื่อให้แก้กฎหมายในประเทศ ตั้งแต่ปี 2554 สำนักสิทธิบัตรสหรัฐฯ ได้ส่งอุปทูตด้านทรัพย์สินทางปัญญาไป 5 ประเทศ เศรษฐกิจเกิดใหม่ คือ รัสเซีย อินเดีย บราซิล จีน และไทย โดยระบุเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อแก้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จึงขอตั้งข้อสังเกตเรื่องความห่วงใยผู้บริโภคจากปัญหายาปลอมนั้น เป็นเพียงเรื่องบังหน้า

ซึ่งในปี 2555 กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้ให้ทุนสนับสนุนการตั้งสาขา "ภาคีความร่วมมือเพื่อยาปลอดภัย" (Partnership for Safe Medicine) ในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาสังคมไทยได้ออกมาตั้งข้อสงสัยในวาระซ่อนเร้น ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ ระบุว่า วาระซ่อนเร้นดังกล่าว คือ การเปลี่ยนแปลงนิยามยาปลอม โดยสร้างความสับสนให้กับสังคมว่า ยาด้อยคุณภาพและไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องเดียวกันกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์ ในความเป็นจริงเป็นคนละเรื่อง และมีวิธีแก้ไขปัญหาที่ต่างกัน หน่วยงานต่างๆ จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจเข้าร่วม และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ

"ในความเป็นจริง ยาต้นตำรับที่จำหน่ายโดยบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรเองก็เป็นยาด้อยคุณภาพได้ เนื่องจากไม่มีมาตรฐานควบคุมการผลิตหรือขนส่งที่ดีพอ หรือพยายามลดต้นทุนการผลิตโดยจ้างให้บริษัทยาขนาดเล็กที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตแทน แบบกดราคา ทำให้บริษัทยาที่รับจ้างผลิตต้องลดปริมาณตัวยาสำคัญที่มีต้นทุนลง"

ในขณะที่หากพิจารณาผลงานและจุดยืนที่ผ่านมาของภาคีความร่วมมือ เพื่อยาปลอดภัยในสหรัฐฯ และอินเดีย ก็มีท่าทีเดียวกันคือ ใช้นิยามยาปลอมในเชิงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาอ้างรวม ว่าเป็นเรื่องยาปลอมในเชิงคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หน่วยงานที่ดูแลด้านยาของประเทศต้องทำหน้าที่การตรวจสอบทรัพย์สินทางปัญญาไปด้วย นั่นไม่ได้แก้ปัญหายาปลอม แต่กลับใช้ทรัพยากรรัฐไปช่วยบริษัทยาข้ามชาติ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของเขา ดังนั้น ผู้สื่อข่าวและหน่วยงานต่างๆ ที่จะไปฟังการแถลงข่าวครั้งนี้ พึงระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ให้เอกชน และทำลายอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญ

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทยาข้ามชาติพยายามใช้หลากหลายกลยุทธ์ เพื่อขยายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้กว้างขวางและเข้มงวดมากขึ้น จนเกินเลยจากกฎหมาย เช่น การขยายนิยามของยาปลอมจากความหมายด้านคุณภาพและความปลอดภัย ให้รวมไปถึงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเสนอให้มีมาตรการแก้ไข โดยหลอกล่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เรื่องยาปลอมที่เหมารวมยาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และยาด้อยคุณภาพและไม่ปลอดภัยว่าเป็นยาปลอม ซึ่งเป็นยุทธวิธีแบบเดียวกัน ที่บริษัทยาข้ามชาติพยายามวิ่งเต้นให้องค์การอนามัยโลก บัญญัตินิยามยาปลอมให้ครอบคลุมยาด้อยคุณภาพ และยาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับนิยามยาปลอมในข้อตกลงต่อต้านสินค้าปลอมแปลง (ACTA) ที่ถูกคว่ำไปในสภายุโรป แต่ยังคงปรากฏในข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปและสหรัฐ ผ่านการเจรจาเอฟทีเอและทีพีพี โดยบังคับให้ อย. จากเดิมมีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ดูแลความปลอดภัยและคุณภาพของยา รวมทั้งผลิตภัณฑ์สุขภาพมาทำหน้าที่ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย อีกทั้งยังต้องการเพิ่มการบังคับใช้กฎหมาย ให้สามารถยึดจับยารักษาโรคที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นยาปลอมตามความหมายใหม่ และสามารถร้องขอให้ห้ามการผลิตและขนส่งทั้งระบบ แม้เพียงแค่ต้องสงสัย เช่น ที่สหภาพยุโรปยึดยาต้านไวรัสเอชไอวีและยารักษาโรคไม่ติดต่อ ที่ส่งจากอินเดียไปยังประเทศกำลังพัฒนา

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวว่า ตาม ...ยา .. 2510 มาตรา 73 กำหนดขอบเขตความหมายของยาปลอม คือ 1. ยาหรือวัตถุที่ทำเทียมหรือมีบางส่วนว่าเป็นยาแท้ 2. ยาที่แสดงชื่อว่าเป็นยาอื่น หรือแสดงวันเดือนปีที่หมดอายุไม่เป็นความจริง 3. ยาที่แสดงชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ผลิตและที่ตั้งไม่เป็นความจริง 4. ยาที่แสดงว่าเป็นยาตามตำรับยาที่ขึ้นทะเบียนไว้ไม่จริง 5. ยาที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน โดยมีสาระสำคัญขาดหรือเกินกว่า 20% ของตำรับยาที่ขึ้นทะเบียนไว้

"ยาผิดมาตรฐานและยาเสื่อมคุณภาพนี้ จะเน้นเรื่องคุณภาพของยาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยาปลอมแปลง ทรัพย์สินทางปัญญาที่ทางอุตสาหกรรมยาต้องการขยายคำนิยามแต่อย่างใดทั้งนี้ ปัญหาเรื่องยาด้อยคุณภาพและไม่ปลอดภัยเป็นปัญหาใหญ่ในหลายๆ ประเทศที่ไม่มีหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยที่เข้มแข็ง ในประเทศไทย เรามีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีศักยภาพทำงานตรวจสอบยาต่างๆ ในประเทศอยู่ แต่ปัญหายาด้อยคุณภาพและไม่ปลอดภัยในไทยส่วนใหญ่เป็นยาลักลอบขายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย.และยาที่ขายผ่านอินเทอร์เน็ตผศ.ดร.ภญ.นิยดา กล่าว

นอกจากนี้จากงานวิจัยของ กพย.พบว่า บริษัทยาต้นแบบได้มีเทคนิคต่างๆ ที่เป็นการข่มขวัญบริษัทยาชื่อสามัญ เช่น การฟ้องร้องเอาผิดทุกรูปแบบในประเด็นที่บริษัทยาต้นแบบคิดว่าถูกละเมิดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือแม้แต่ละเมิดลิขสิทธิ์ในเอกสารกำกับยา ทั้งๆ ที่ไม่เข้าข่ายการเป็นวรรณกรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทย นอกจากนี้ในระหว่างที่คดีอยู่ในศาลยังส่งจดหมายไปแจ้งแกมขู่โรงพยาบาลต่างๆ ให้ระงับการสั่งซื้อยาชื่อสามัญที่เป็นคดีความ ทั้งๆ ที่คดียังไม่สิ้นสุด หากบริษัทยาชื่อสามัญเล็กๆ ที่ไม่มีฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายสิทธิบัตรที่แข็งแกร่งมากพอ ก็อาจจะถอดใจ ไม่สู้คดี ถอนยาจากตลาด ซึ่งทำให้บริษัทยาต้นแบบผูกขาดและเรียกราคายาได้แพงขึ้นเพราะขายเพียงเจ้าเดียว แม้ว่าในความเป็นจริง ในที่สุดศาลอาจจะชี้ว่า บริษัทยาชื่อสามัญนั้นอาจจะไม่ได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเลยก็ได้ ดังนั้นหากหน่วยงานต่างๆ ไปหลงกล เอาเรื่องคุณภาพยาและทรัพย์สินทางปัญญาไปปนกัน เชื่อว่าจะทำให้บริษัทยาชื่อสามัญจำนวนมากถูกกลั่นแกล้งด้วยการแจ้งจับยึดยาที่ถูกต้องสงสัย ทั้งที่อาจไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพและไม่ได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเลย.

 



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.