นักวิจัยโรงพยาบาลบริกแฮมและโรงพยาบาลหญิงของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คนไข้โรคเอดส์ของโรงพยาบาล 2 คน ได้หยุดกินยา หลังจากที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก รายหนึ่งเลิกกินมาได้เกือบ 4 เดือนแล้ว โดยที่ไม่พบวี่แววว่าเชื้อไวรัสได้ย้อนกลับมาอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าหายดีแล้ว เพราะเชื้อไวรัสอาจจะหวนกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้

โรงพยาบาลได้เปิดเผยข่าวดีนี้ ต่อที่ประชุมสมาคมแพทย์โรคเอดส์ระหว่างประเทศ โดยยอมรับว่า การกำจัดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ เป็นของยากมาก เพราะมันเข้าไปหลบอยู่ใน “ดีเอ็นเอ” ของคนเราซึ่งไม่อาจแตะต้องได้

เหตุที่ต้องให้คนไข้กินยาต้านไวรัส เพราะยาจะได้ออกฤทธิ์สกัดเชื้อในกระแสโลหิตไว้ หากหยุดยาเมื่อใดเชื้อก็อาจจะกลับมาอีก ในคนไข้ 2 รายนี้ มีเชื้ออยู่ในตัวมานาน 30 ปีแล้ว ทั้งยังป่วยเป็นมะเร็งปุ่มน้ำเหลือง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ปรากฏว่าหลังจากการผ่าตัด ทั้งสองคนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือดอีกเลย คนหนึ่งเป็นเวลานาน 2 ปี และอีกคนหนึ่งนาน 4 ปีแล้ว จนเลิกกินยามาตั้งแต่ต้นปีนี้

ดร.ทิโมธี เฮนริช แพทย์ผู้รักษา กล่าวว่า “เราไม่ได้แสดงว่ารักษาหายขาด ยังจำเป็นต้องติดตามการรักษาอยู่ แต่อาจกล่าวได้ว่า หากไม่พบเชื้อไวรัส หลังจากหยุดยามานาน 1-2 ปี โอกาสที่มันจะหวนคืนอีกน่าจะน้อยมาก แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า ได้รักษาหายแล้ว”

หมอเฮนริชยังบอกด้วยว่า การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นการซับซ้อนและแพงมาก แถมยังเสี่ยงสูง กับคนไข้ส่วนใหญ่แล้ว อาจจะเป็นอันตรายมากกว่า การกินยาประจำวันตามปกติเสียอีก.