แพทย์หัวใจ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ แนะเตรียมร่างกายให้พร้อม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคประจำตัว เน้นตรวจหัวใจ พบแพทย์ประจำตัว ก่อนไปฮัจญ์ พบปี 2555 เสียชีวิต 25 ราย ส่วนใหญ่ตายด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน และมีแนวโน้มตัวเลขสูงขึ้นในทุกปี...
นายแพทย์มานัส เสถียรวงศ์นุษา แพทย์สาขาโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ กล่าวว่า ข้อมูลจากสถิติศูนย์ดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญที่นครเมกกะ ปี 2555 มีผู้เสียชีวิต 25 ราย ส่วนใหญ่เสียชีวิตแบบเฉียบพลันจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงเสื่อมแข็งที่มีความต่อเนื่องจนเกิดการขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงแนะนำผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น สูบบุหรี่ อ้วน เครียด ไม่ออกกำลังกาย และมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่น ขาบวม เป็นลม วูบ เป็นต้น ควรพบแพทย์ หรือตรวจสุขภาพหัวใจก่อนเดินทางไปประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาในครั้งนี้
นายแพทย์มานัส อธิบายถึงการตรวจหัวใจว่า หมอแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงหรือผู้มีอาการดังกล่าว พบแพทย์ เพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และอาจเพิ่มเติม ได้แก่ ตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram) คือ การสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อวินิจฉัยโรค หัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะ โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ และ/หรือ การเดินสายพาน (Exercise Stress Test) คือ เมื่อออกกำลังกายหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นด้วย หากมีหลอดเลือดหัวใจตีบ เลือดจะไม่สามารถเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอจะมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้เห็น ดังนั้นจึงเป็นการตรวจที่เฉพาะเจาะจงต่อการคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ความแม่นยำมากกว่าร้อยละ 70
นายแพทย์ สมฤทธิ์ จันทรประทิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ กล่าวว่า ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปแสวงบุญร้อยละ 70 อยู่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ซึ่งมีข้อจำกัดทำให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจหัวใจและการรักษาจากแพทย์โรคหัวใจ ดังนั้นโรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือการตรวจวินิฉัยพร้อม ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการตรวจหัวใจให้กับผู้ที่จะเดินทางไปทำฮัจญ์ด้วยเครื่องมือพิเศษ อัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram) จึงได้ร่วมกับศูนย์บริการการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสาธารณสุข 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 12 สงขลา และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) จัดทำโครงการ 'ตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจสัญจรแก่กลุ่มเสี่ยง' เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการระบุตัวผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจนำมาสู่การดูแลรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสม และรวดเร็ว เพื่อให้พร้อมที่จะเดินทางไปทำฮัจญ์ต่อไป โครงการฯ ปี 2556 นี้จะเริ่มสัญจรวันที่ 1 กรกฎาคม ณ มัสยิดกลาง จังหวัดสงขลา สอบถาม โทร. 1719
สำหรับข้อมูลผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสุขภาพ จากข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ.2553 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นจำนวนถึง 7.2 ล้านคน (American Heart Association, 2007) ในปี พ.ศ. 2555 พบการเสียชีวิตกว่าแปดแสนรายต่อปี และมีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเกือบสองแสนรายต่อปี หรือเท่ากับพบอุบัติการณ์โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันทุก 25 วินาที (American Heart Association, 2012) สำหรับประเทศไทย ในระหว่างปี พ.ศ.2548-2552 คนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจต้องนอนโรงพยาบาลวันละ 1,185 รายต่อวัน โดยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดประมาณ 470 รายต่อวัน เสียชีวิตชั่วโมงละ 2 คน (Srimahachota,Kanjanavanit, Boonyaratavej et al, 2007)
ข้อมูลโครงการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจสัญจรของโรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ ตั้งแต่ปี 2554 สปสช.เขต 12 ได้ตระหนักถึงสุขภาพพี่น้องชาวภาคใต้ที่ขาดโอกาสการเข้าถึงแพทย์หัวใจ จึงร่วมกับ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ นำแพทย์หัวใจตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram) ยังโรงพยาบาลต่างๆซึ่งแพทย์ประจำลงความเห็นให้ตรวจได้รวม 6 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลปัตตานี, โรงพยาบาลพัทลุง, โรงพยาบาลตรัง, โรงพยาบาลสตูล, โรงพยาบาลทุ่งสง และโรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครศรีธรรมราช, โรงพยาบาลกระบี่ รวมทั้งสิ้นจำนวน 642 ราย พบว่าผู้ป่วย ต้องได้รับการทำผ่าตัดหัวใจ 28 ราย ต้องได้รับการรักษาด้วยการใส่ขดลวด (Elective PCI) จำนวน 154 ราย ทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจพ้นจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งเป็นความภูมิใจทางวิชาชีพแพทย์และพยาบาลของเราที่ได้ดูแลผู้ป่วยหัวใจ 6 จังหวัด ภาคใต้ อย่างต่อเนื่องมากว่า 3 ปี