รัฐบาลยิ่งแข็ง ฝ่ายต้านยิงแรง
 


รัฐบาลยิ่งแข็ง ฝ่ายต้านยิงแรง


รัฐบาลยิ่งแข็ง ฝ่ายต้านยิงแรง
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8200 ข่าวสดรายวัน


รัฐบาลยิ่งแข็ง ฝ่ายต้านยิงแรง





การที่อุณหภูมิการเมืองปรับตัวสูงขึ้นพรวดพราดช่วงนี้

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ปัจจัยหนึ่งมาจาก"สปีชมองโกเลีย" ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีการประชุม ประชาคมประชาธิปไตย ที่ประเทศมองโกเลียเป็นเจ้าภาพ

ไม่เฉพาะเนื้อหาที่เสมือนหอกทิ่มแทงใจดำ บุคคล 3-4 กลุ่ม ผู้ร่วมแก๊ง"ถอดนอต"ประเทศไทยเมื่อ 19 ก.ย.2549 จนทำให้ขบวนรถไฟสายประชาธิปไตยของไทย "ตกราง" ตั้งแต่บัดนั้นมา

ถึงในปัจจุบันรัฐบาลชุดนี้จะกู้ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังขับเคลื่อนไม่เต็มสูบ เหตุเพราะกลุ่มผู้มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตย ยังหลงเหลืออยู่นั่นเอง

สำหรับคนมีเหตุมีผลอยู่ในโลกของความเป็นจริงมองว่า สปีชมองโกเลียนอกจากคือความจริงอันทรงพลัง

ยังเป็น"จุดเปลี่ยน"ภาพลักษณ์ทางการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งสำคัญ กล่าวคือเปลี่ยนจาก "สมันน้อย" กลายร่างเป็น"นางสิงห์" ที่ฝ่ายตรงข้ามจะประมาทเขี้ยวเล็บไม่ได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความหวาดกลัวต่อภาพลักษณ์ใหม่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นแรงกระตุ้นให้ฝ่ายต่อต้านต้องเปลี่ยนหันมาใช้วิธี"ชกใต้เข็มขัด"

โดยการพ่นคำผรุสวาท ด่าทอ หยาบคายต่างๆ นานา อย่างไร้เหตุผลที่มาที่ไป เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของนายกฯสตรีเพศผ่านโลกไซเบอร์

จนถูกแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดี ถูกท้วงติงจากคนในสังคมไม่น้อย แต่ก็ดูเหมือนฝ่ายต่อต้าน"ยิ่งลักษณ์"และรัฐบาลเพื่อไทย จะไม่มีทางเลือกอื่น

นอกจากเพิ่มดีกรีด่าทอให้รุนแรงขึ้นไปอีก

ล่าสุดถึงขนาดมีมือดีแฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด่าน.ส.ยิ่งลักษณ์แบบซึ่งหน้า ทำเอารัฐบาลปั่นป่วนโกลาหลไปพักใหญ่

การกระทำดังกล่าวเป็นเพราะฝ่ายต้านกำลังเข้าตาจน

รู้ดีว่าหากชกตามกติกาสากลต่อไป ด้วยนักมวยที่เก่งแต่ปาก แต่อ่อนในเชิงชก กี่ครั้งๆ ก็คงไม่มีทางได้รับชัยชนะ ถึงจะมีกรรมการคอยถือหางเข้าข้างอยู่ก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์บนเวทีตอนนี้ ตัวกรรม การเองก็ใช่ว่าจะมีสภาพดีไปกว่าตัวนักมวยสักเท่าไหร่


ด้วยเหตุที่นักมวยอีกมุมหนึ่ง บวกกับกองเชียร์ เริ่มหมดความอดทนกับกรรมการไม่เป็นกลาง ต่อให้ชกดีเท่าไหร่แต่สุดท้ายยังถูกจับ"แพ้ฟาวล์"อยู่ร่ำไป

ชนะทีไร ถูกสั่งยุบค่ายมวยทุกที

เปรียบกับการเมืองปัจจุบัน การสิ้นสุดความอดทนดังกล่าว นำมาสู่ปรากฏการณ์ 312 ส.ส.และส.ว. ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญกรณีมีมติรับคำร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กับ 237 ไว้วินิจฉัยตีความ

ทั้ง 312 คนยืนกรานไม่ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินขอบเขต ล้ำเส้นรัฐสภาอีกต่อไป

ขณะเดียวกันแม้ว่ากลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. ที่ปักหลักชุมนุมกดดันหน้าศาลรัฐธรรมนูญมานาน 17 วัน จะยุติลงเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังเคลื่อนขบวนไปยังรัฐสภาเพื่อยื่นแสดงเจตจำนงถอดถอน 5 ตุลาการเสียง ข้างมาก

ก่อนสลายตัว กวป.ประกาศเจตนารมณ์ทิ้งท้ายไว้ว่า

จะกลับไปล่ารายชื่อประชาชน 1 ล้านรายชื่อเพื่อการนี้ และพร้อมเคลื่อนขบวนเข้ากรุงทันที หากศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ยอมลดขอบเขตอำนาจของตนเองลง ให้กลับมาอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ถึงบรรยากาศหน้าศาลรัฐธรรมนูญจะคลายตัวลง แต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ม็อบอื่นๆ จะคลี่คลายตามไปด้วย

ถ้าเป็นม็อบประชาชนที่มากันเองเพื่อเรียกร้องรัฐบาลแก้ไขเยียวยาปัญหาความเดือดร้อนในท้องถิ่น อย่างขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือพีมูฟ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

เพราะเมื่อได้รับคำตอบจากรัฐบาลเป็นที่น่าพอใจ ก็ยอมสลายตัวเดินทางกลับภูมิลำเนา และก็พร้อมกลับมาใหม่หากพบว่ารัฐบาลไม่ทำตามสัญญา

ต่างจากบางม็อบที่บุกเข้าไปยึดพื้นที่กางเต็นท์รอบสนามหลวง โดยไม่มีหัวข้อเรียกร้องที่ชัดเจน เพียงยืนกรานว่าจะชุมนุมจนกว่ารัฐบาลจะลาออก หรือยุบสภา

น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นยังอยู่ตรงม็อบที่มีการเมืองแฝงอยู่เบื้องหลัง


ม็อบลักษณะนี้จะอาศัยช่วงเวลารัฐบาลกำลังเผชิญกับมรสุมหลายด้านทั้งในสภาและนอกสภา รวมถึงการทำสงครามในโลกไซเบอร์

ฉวยโอกาสผสมโรงนำพากลุ่มประชา ชน หรือเกษตรกรจากจังหวัดต่างๆ ที่มีความไม่พอใจในนโยบายบางด้านของรัฐบาลเป็นทุนเดิม ออกมาเคลื่อนไหวขย่มซ้ำ เช่น การเรียกร้องเรื่องราคายาง ราคาปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

หรือการสนับสนุนให้หมอชนบทในพื้นที่ภาคใต้ ออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์คัดค้านนโยบายการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน หรือ พีฟอร์พี ของกระทรวงสาธารณสุข

รวมทั้งล่าสุดกรณีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เตรียมปัดฝุ่นนโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คน ราว 6,000 แห่งทั่วประเทศ

ไปรวมกับโรงเรียนขนาดใหญ่ในละแวกใกล้กัน ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอจะพัฒนาโรงเรียนทุกแห่งให้มีคุณภาพการศึกษาใกล้เคียงกัน

ก็ถูกต่อต้านจากส.ส.พรรคประชา ธิปัตย์ อ้างว่ารัฐบาลกำลังกระทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในการศึกษา

ทั้งที่มีหลักฐานว่าในยุคนาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็เคยเสนอนโยบายยุบโรงเรียนเล็กราว 7,000 แห่งไปรวมกับโรงเรียนใหญ่ เช่นกัน

การที่พรรคตัวเองทำได้ แต่พรรคอื่นทำไม่ได้ อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราก็เช่นเดียวกัน

เป็นเครื่องฉายให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มฝ่ายต้านต้องการขยายผลทุกเรื่องให้เป็นการเมืองเพื่อทำลายรัฐบาล มากกว่าจะทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ร้อนอย่างแท้จริง

เหล่านี้คือสัญญาณชี้ให้เห็นว่า ขบวนการฝ่ายต่อต้านพร้อมทำสงครามทุกรูปแบบ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลให้ได้

โดยไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งถือเป็นกรรมการตัวจริงที่จะเป็นผู้ตัดสินในบั้น ปลายท้ายสุดว่า

ใครคือผู้ชนะ ใครคือผู้แพ้


หน้า 3




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.