ทุนนอกแห่เก็งกำไรค่าเงินเอเชีย-ไทย พลอยฉุดค่าเงินบาทแข็งเร็ว จ่อหลุด30 บาทต่อดอลลาร์อีกรอบ ชี้ปัจจัยแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคและจีดีพีไทยที่เติบโตแกร่ง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตกจะดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเข้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ต่อเนื่อง คาดสิ้นปีแกว่งขึ้นไปที่ 29.50 บาทต่อดอลลาร์
จากผลของเงินทุนต่างประเทศที่ไหลกลับเข้าในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย ส่งผลให้ค่าเงินหลายสกุลแข็งค่าขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะค่าเงินบาทของไทย ซึ่งขึ้นมาขยับเข้าใกล้ระดับ 30.00 บาท/ ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดในสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 30.26 บาท/ดอลลาร์
นอกจากนี้จากรายงานของไอเอฟอาร์ มาร์เก็ตส์ ได้ประเมินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ใช้เงินราว 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อแทรกแซงค่าเงินในช่วงเช้าวันที่ 7 เมษายน หลังจากที่เข้าแทรกแซงตลาดเมื่อวันพุธ (6 เม.ย.) เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าตลาดในประเทศจะปิดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด
ทั้งนี้ นับจากวันที่ 17 มีนาคม หนึ่งวันก่อนที่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี-7) เข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการขายเยน เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 0.4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า จากต้นปีนับถึง 7 เมษายนมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดหุ้นรวม 1.77 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 587 ล้านดอลลาร์
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินสกุลเอเชียรวมถึงค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วไปในทิศทางเดียวกับเงินยูโรของสหภาพยุโรป จากปัจจัยเงินทุนต่างประเทศจำนวนมากไหลเข้าสู่ภูมิภาค ทั้งนี้ รายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ณ วันที่ 8 เม.ย.เงินสกุลยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงปิดตลาดในสัปดาห์ ก่อนหน้า
ส่วนเงินสกุลเอเชียแข็งค่า นำหน้าโดยดอลลาร์ ไต้หวันที่แข็งค่าขึ้น 1.1% รูปี อินเดีย 0.7% รูเปียห์ อินโดนีเซีย เปโซ ฟลิปปินส์ 0.6% ด่อง เวียดนาม 0.5% วอน เกาหลี และดอลลาร์ สิงคโปร์ 0.3%
นายศรันย์ ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงิน ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่ผลักดันการแข็งค่าของเงินบาทหลัก ๆ ตอนนี้คือ กระแสเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียด้วย โดยสิ้นปีนี้ธนาคารทหารไทยคาดว่าจะแข็งค่าไปอยู่ที่ 29.50 บาท/ดอลลาร์
ด้านนางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในระยะนี้มาจากเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก มาอยู่ที่ 1.44 ดอลลาร์/ยูโร จากการที่นักลงทุนเก็งการปรับขึ้น ดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี มาตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และในที่สุดอีซีบีก็ปรับขึ้น 0.25% สู่ระดับ 1.25% ซึ่งทำให้สหรัฐเป็นประเทศเดียวที่ยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย จนความน่าสนใจในการลงทุนในสินทรัพย์ดอลลาร์มีน้อยลง
เฟดถอนนโยบาย QE ป่วนตลาด อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องระมัดระวังคือ การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้จะต่างจากปีที่แล้วที่ตลาดมีความชัดเจนว่าสหรัฐมีมาตรการ QE เงินจึงไหลเข้าเอเชียอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินแข็งค่าขาเดียว แต่ปีนี้ ต้องจับตาธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดอย่างใกล้ชิด เพราะหากเฟดส่งสัญญาณว่าจะหยุดมาตรการ QE จะทำให้นักลงทุนรีบขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงในเอเชียอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้เงินสกุลเอเชียและเงินบาทอ่อนค่าลงอีกครั้ง
ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากปรับขึ้นต่อเนื่องจะทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียอาจมีปัญหา เอเชียส่วนใหญ่เป็นผู้นำเข้าน้ำมัน ประเด็นนี้อาจทำให้มีการเทขายหุ้นในเอเชียได้
ตราสารหนี้คึกคักไม่แพ้หุ้น นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า นักลงทุน ต่างชาติยังคงนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการโยกเงินจากตราสารหนี้ไปตลาดหุ้นโดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ วันที่ 1 เม.ย.ต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยมากขึ้น 1 แสนล้านบาท มาเป็น 3.8 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดซื้อสุทธิ (รวมการ rollover ตราสารหนี้ระยะสั้น) อยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท
"2 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ได้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดบอนด์หนาแน่นเช่นเดียวกัน แสดงว่าเงินที่ไหลเข้าเป็นเงินใหม่ ไม่ใช่การโยกเงินจากตลาดบอนด์ไปตลาดหุ้น" นางสาวอริยากล่าว
ราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง ราคาน้ำมันโลกทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และแกว่งตัวอยู่ในระดับสูงผลพวงจากความไม่สงบในโลกอาหรับและการเลื่อนเลือกตั้งของไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของแอฟริกา
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ราคาน้ำมันดิบไลท์ สวีทเวสต์ เทกซัส ตามสัญญาส่งมอบเดือน พ.ค.ขยับขึ้น 93 เซนต์ เป็น 111.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ในตลาดนิวยอร์ก ขณะที่ราคา น้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น 79 เซนต์ เป็น 123.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันดิบถูกแรงกดดันจากความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาหนือซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบ โดยเกิดกระแสประท้วงเรียกร้องให้ผู้นำที่ครองอำนาจมายาวนานต้องลงจากตำแหน่ง และปัจจุบันโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป เช่นเดียวกับประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ของเยเมน
ทั้งนี้ ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมองว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันรอบล่าสุดอาจไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว หรือเป็นการเก็งกำไรเหมือนที่เคยคาดไว้ ขณะที่ปิโตร ไชน่า ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของจีนระบุว่า จีนจะต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 14% ภายในปี 2558 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ดันแนวโน้มราคาน้ำมันระยะยาวให้สูงขึ้น
ด้านอรุณ มาจัมดาร์ รักษาการปลัดกระทรวงพลังงานสหรัฐ แสดงความคิดเห็นว่า สถานการณ์น้ำมันแพงจะอยู่ เช่นนี้ต่อไป โดยหากดูจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย ก็คิดว่าความต้องการน้ำมันจะสูงขึ้น และราคาเฉลี่ยในอนาคตจะสูงขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกมาเตือนว่า ความต้องการน้ำมันดิบจะสูงกว่าการขยายตัวของอุปทานน้ำมันทั่วโลก และราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมาสะท้อนว่า ตลาดน้ำมันโลกได้เข้าสู่ภาวะขาดแคลนน้ำมันมากยิ่งขึ้น