เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช. )มีมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และไม่ถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ว่า ทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง จากการที่ผลคะแนนถอดถอนไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันนั้น ก็แสดงว่า สนช.มีการแยกแยะ และมีดุลยพินิจในการลงคะแนนที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคดีก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ตัดสินต้องออกมาอธิบายต่อสังคมถึงเหตุผลของการถอดถอน ซึ่งเชื่อว่าปัญหาเกิดจากการไม่ไปตอบข้อซักถามต่อ สนช.ด้วยตนเอง แต่กรณีของนายนิคม และนายสมศักดิ์นั้น อาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่มีกฎหมายมารองรับ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.)สั่งล็อบบี้ผลการลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามกับ สนช. เพราะตนเป็นคนนอก ไม่สามารถบอกได้ว่ามีจริงหรือไม่ แต่คำแถลงการณ์ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น เป็นสำนวนเดิมๆ ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยมักใช้เป็นประจำ แต่อยากขอให้ความสำคัญไปที่การวางระบบในวันข้างหน้า ที่สามารถจัดการเรื่องของความรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฏหมายของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นความท้าทายของทาง คสช.และองค์กรที่เกี่ยวข้อง จะเข้าไปดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ผลการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ของ สนช.ในครั้งนี้คงไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้ เพราะขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์พิเศษ แต่อยากขอให้ความสำคัญไปที่การวางระบบในวันข้างหน้าจะดีกว่า เมื่อถามว่าการที่ คสช.ออกมาขอความร่วมมือไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกมาเคลื่อนไหว จะส่งผลให้สถานการณ์ความร้อนแรงขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ไม่ควรปิดกั้นในด้านการแสดงออก และการแสดงออกจะต้องไม่อยู่ในลักษณะของการปลุกระดมและก่อให้เกิดความวุ่นวาย เมื่อถามต่อว่ากรณีนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เพราะเป็นผู้จุดประเด็นในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ตรวจสอบ และผู้ร้องในกรณีเหล่านี้ หากเห็นว่ามีการกระทำผิดจริง อย่างไรก็ตามเห็นว่าการถอดถอนที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเป็นอุปสรรค ต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ทุกคนควรจะทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ และต้องอยู่ในกรอบที่ไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย.
