"กิตติรัตน์" หนุน รบ.-คสช. สานต่อนโยบายรับจำนำข้าวเพื่อดูแลเศรษฐกิจประเทศ
 


"กิตติรัตน์" หนุน รบ.-คสช. สานต่อนโยบายรับจำนำข้าวเพื่อดูแลเศรษฐกิจประเทศ




เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม นายกิตติรัตน์  ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเศรษฐกิจชะลอตัว การจับจ่ายใช้สอยเริ่มฝืดเคือง ว่า เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ปัจจัยภายในก็เช่น การระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายของภาคครัวเรือน รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนที่เลื่อนออกไปเพราะความไม่แน่ใจเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยภายนอกก็ได้แค่การที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่เติบโตติดลบอันเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจและคู่ค้าสำคัญและสภาวะทางการเมืองในประเทศ และเมื่อวันที่1 มกราคมที่ผ่านมา สิทธิพิเศษทางศุลกากร หรือ “จีเอสพี” ที่เราเคยได้รับนั้นได้หมดอายุลงไป เพราะประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น 3 ปีติดต่อกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่รัฐบาลที่แล้ว คือรัฐบาลของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้เร่งเจรจาข้อตกลงเสรีทางการค้าหรือ FTA กับยุโรป เพื่อจะให้ออกมาทันกับจีเอสพีที่จะหมดอายุลงไป และการเจรจาก็เดินหน้าไปด้วยดีด้วย แต่เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน ก็เลยทำให้การเจรจาสะดุดหยุดลง เพราะอียูได้ประกาศระงับการเจรจาข้อตกลงเสรีทางการค้ากับไทยจนกว่าประเทศจะกลับสู่สภาวะที่เป็นประชาธิปไตยก็เลยทำให้มีสินค้าหลายรายการจากไทยจะส่งออกไปแข่งขันในตลาดยุโรปได้ยากขึ้นเพราะกำแพงภาษีที่ได้รับการผ่อนผันได้หมดลง และไม่มีเอฟทีเอ มารองรับได้ทัน ตรงนี้ผู้ส่งออกก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทำใจยอมรับปัญหา

http://www.matichon.co.th/online/2015/01/14210605111421060527l.jpg

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า ภาครัฐน่าจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงเรื่องมาตรการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินบาท ผมไม่ได้บอกให้ไปแทรกแซงจนบิดเบือนกลไกตลาด แต่ให้ดูแลให้เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก อีกทั้งในสภาวะนี้ราคาพลังงานในตลาดโลกก็ปรับตัวลงมาก ถ้าหากเราได้ดูแลค่าเงินให้อ่อนตัวลงสักนิด นอกจากจะไม่กระทบกับราคาพลังงานเมื่อแปลงมาเป็นบาทมากนัก ก็สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมการในระดับคณะทำงานภายในประเทศให้เตรียมความพร้อมที่สุด เมื่อสภาวะการเมืองกลับสู่สังคมประชาธิปไตย ก็จะสามารถบรรลุข้อตกลง FTA กับทางยุโรปได้ในทันที  และเพื่อสร้างความมั่นใจ และความชัดเจนในเรื่องของทิศทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรบริหารสภาวะเศรษฐกิจ แบบ “แบบมีส่วนร่วม” มีความจำเป็นอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย พี่น้องเกษตร หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวนาที่มีกว่า 4 ล้านครอบครัว การดูแลเรื่องสินค้าเกษตรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือชาวนาหรือเกษตร แต่เป็นการดูแลเศรษฐกิจของประเทศให้มีความยั่งยืนเหมาะสม หากจะมีการนำไปสานต่ออย่างนโยบายจำนำข้าวเปลือก หรือที่พยายามจะเรียกว่า “สินเชื่อชะลอการขาย” นั้น โดยหลักการและวัตถุประสงค์เหมือนกับนโยบายจำนำข้าว กล่าวคือเป็นการช่วยเหลือพี่น้องชาวนา นอกจากจะไม่ขัดข้อง ผมจะยังก็ขอให้กำลังใจรัฐบาลในการเดินหน้านโยบายนี้ต่อไป และขอยืนยันว่าเป็นนโยบายที่ดี เพราะมีเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาไม่ต่างกัน


// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.