กรณีนายพิศิษย์ เพชรคีรี เจ้าของเรือมารมีพ่อ 9 เรือประมงขนาดกลางเข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวว่าขณะออกจับสัตว์น้ำบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา รอยต่อ จ.ระนอง พร้อมเรือประมงนับสิบลำ ถูกเรือติดอาวุธขนาดเล็กกราดยิงด้วยปืนนานาชนิดจนไต๋ก่งเรือต้องสั่งให้ลูกน้องโดดลงจากเรือหนีเอาตัวรอด ขณะที่ไต๋ก๋งขับเรือหนี พร้อมวิทยุขอความช่วยเหลือจากเรือหลวงศรีราชา ที่ลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่เข้าช่วยเหลือ เนื่องจากคิดว่าอาจจะเป็นโจรสลัดมาปล้นเรือต่อมาเรือลำดังกล่าวแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดระนอง ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามล่าคนร้าย หลังจากที่ทหารเรือเข้ามาถึงพร้อมตรวจสอบ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ภ.จว.ระนอง ได้นัดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องล้มเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. นายพิศิษย์ เพชรคีรี เจ้าของเรือมารมีพ่อ 9 กล่าวว่า ได้ให้ลูกน้อง และตัวแทนไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดระนอง 6 คน คนขับเรืออีก 1 คน ข้อหาพยายามฆ่า ถึงแม้ลูกน้องของตนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ตนกำลังวิตกอยู่ขณะนี้คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกลูกน้องไปสอบสวน เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 7 ชั่วโมง แต่กลับไม่มีรายชื่อผู้ที่ก่อเหตุ ทั้ง ๆ ที่ตนมอบหลักฐานทั้งหมดให้แล้วเกรงว่าจะมีการวิ่งเต้นช่วยเหลือกัน โดยตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา มีผู้พยายามโทรฯมาขอให้ตนหยุดดำเนินคดี หรือไม่ให้เอาเรื่อง มีทั้งจากภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ตนปฏิเสธไป ยืนยันจะขอสู้คดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าใครจะมากดดันขอ หรือข่มขู่ก็ไม่กลัว ทั้งนี้ตนได้รับแจ้งจากลูกน้องว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาเดินวนเวียนอยู่หน้าแถวประตูรั้วบ้าน พร้อมสอบถามหาตน แต่ลูกน้องบอกไปว่าไปกรุงเทพฯ ช่วงนี้จึงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะรู้ว่ากำลังเผชิญ และต่อสู้กับผู้มีอิทธิพล และมีอำนาจกฎหมายในมือ แต่เรื่องนี้จะไม่จบง่ายแน่นอน พรรคพวกเพื่อนชาวประมงหลายรายที่เคยถูกกระทำแบบตนต่างโทรฯมาให้กำลังใจบอกให้สู้จนกว่าจะชนะ.