สามีภริยาเป็นหนี้กันเองได้? สามีมีสิทธิ์ถูกอายัดทรัพย์? : คอลัมน์ ฎีกาชีวิต
 


สามีภริยาเป็นหนี้กันเองได้? สามีมีสิทธิ์ถูกอายัดทรัพย์? : คอลัมน์ ฎีกาชีวิต


 สามีภริยาเป็นหนี้กันเองได้? สามีมีสิทธิ์ถูกอายัดทรัพย์? : คอลัมน์ ฎีกาชีวิต


สามีภริยาเป็นหนี้กันเองได้?
คอลัมน์ ฎีกาชีวิต
โดย พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช


http://www.matichon.co.th/online/2015/01/14208797661420880192l.jpg

เรื่องหนี้สินกลายเป็นมรดกทางสังคมไปแล้วไม่ว่าจะเป็นหนี้ตามกฎหมายหรือหนี้นอกกฎหมายก็เถอะเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระกันแล้วลูกหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้ก็ดีไม่มีเงินใช้หนี้ก็ดีเจ้าหนี้ก็มีหน้าที่ติดตามทวงหนี้และอาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินของเจ้าหนี้เพื่อบังคับให้ชำระหนี้ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย

มีประเด็นสำคัญสามีภริยาเป็นหนี้กันเองได้หรือไม่?

เท่าที่สำรวจประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดูนั้นไม่มีมาตราใดห้ามไว้ จึงเป็นการสนับสนุนความคิดที่ว่าทุกคนมีสิทธิจะเป็นหนี้กันได้ตามความจำเป็น ลูกหนี้กับเจ้าหนี้จึงเป็นของคู่กันในสังคมแยกขาดกันไม่ได้

ตราบใดโลกยังคงหมุนเป็นปกติตราบนั้นใครอยู่ในฐานะใดก็ตามมีโอกาสที่จะเป็นลูกหนี้ได้เสมอหากเจ้าหนี้เห็นว่ามีความสามารถชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยหลังจากนั้นได้

ยิ่งสังคมทุนสมัยใหม่ชายหญิงมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหญิงทำงานภาครัฐหรือภาคเอกชนหรือเป็นนักการเมืองต่างทำหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญหรือทำธุรกิจส่วนตัวเป็นร้อยๆล้านเธอมีทั้งความสามารถไม่ต่างไปจากชายดำรงอยู่ในสังคมแตกต่างไปจากสังคมดั้งเดิมมากทีเดียว

วันนี้จะยกประเด็นเฉพาะสามีภริยาต่างเป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เมื่อภริยาสมัครใจให้สามียืมเงินจำนวน10ล้านบาท ปัญหามีว่าถ้าสามียืมเงินภริยาแล้วไม่จ่าย ภริยาฟ้องยึดหรืออายัดทรัพย์สามีในฐานะลูกหนี้และนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้เพื่อชำระหนี้หรือไม่? ต้องเข้าใจก่อนว่ากฎหมายคำนึงถึงปัญหาข้างหน้าและป้องกันความแตกแยกของครอบครัวไว้แล้ว จึงขอตอบโจทก์ว่า

ภริยาไม่อาจกระทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1487 ว่า "ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากัน ฝ่ายใดจะยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้" เพราะถ้ากฎหมายยอมให้ภริยาหรือสามียึดหรืออายัดทรัพย์อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อการขายทอดตลาดและนำเงินมาชำระหนี้เหมือนกับกรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ทั่วไปนั้นถ้ากฎหมายยอมให้กระทำการเช่นที่กล่าวไว้ได้หลังจากนั้นแล้วสามีภริยาคู่นั้นคงจะอยู่ร่วมกันลำบากและอาจเกิดเหตุแตกแยกหย่าร้างหรือมีเหตุอื่นใดเกิดขึ้นกระทบต่อความสงบสุขของครอบครัวแต่ก็มีบางกรณีกระทำได้เพราะไม่เข้าข้อบังคับของกฎหมาย

สามีโจทก์ฟ้องภริยาจำเลยขอแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จากการทำมาหาได้ก่อนจดทะเบียนสมรสเท่ากับว่า โจทก์ประสงค์จะแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรสตามมาตรา1471 เพื่อให้แต่ละฝ่ายต่างมีอำนาจจัดการกับทรัพย์สินของตัวเองได้ตามสิทธิในมาตรา1473 และมาตรา 1336

ขณะที่โจทก์ฟ้องนั้น โจทก์จำเลยต่างไม่ได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากันอีกต่อไปแล้ว จึงไม่ใช่เป็นการฟ้องร้องเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาอันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย และไม่ต้องห้ามมิให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยตามมาตรา1487ศาลเห็นว่าโจทก์ได้มีหนังสือไปยังจำเลยเพื่อขอแบ่งแยกที่ดินตามสิทธิโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินตามมาตรา 1363 ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 4382/2540)

แต่ในมาตรา 1487 กฎหมายมีข้อยกเว้นให้สามีหรือภริยามีสิทธิยึดหรืออายัดทรัพย์สินกันได้

ข้อแรก คดีที่ฟ้องร้องเพื่อการปฏิบัติหน้าที่หรือรักษาสิทธิระหว่างสามีภริยาตามที่บัญญัติไว้ โดยเฉพาะในประมวลกฎหมายนี้ หรือที่ประมวลกฎหมายนี้บัญญัติไว้ โดยเฉพาะให้สามีภริยาฟ้องร้องกันเองได้ เช่นคดีฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่เป็นการชั่วคราวและขอค่าอุปการะเลี้ยงดู หรือให้สามีอุปการะเลี้ยงดูบุตรในคดีฟ้องหย่า เป็นต้น

ข้อสอง เป็นการยึดหรืออายัดทรัพย์สินสำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าฤชาธรรมเนียมที่ยังมิได้ชำระตามคำพิพากษาของศาล เช่น ศาลมีคำพิพากษาให้สามีชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูภริยาเดือนละ10,000 บาท แต่สามีขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เป็นต้น

เรื่องทำนองนี้ขอให้ผู้เป็นสามีคิดให้ดีๆ ไม่ง่ายนักที่จะขัดขืนคำสั่งศาลครับ เพราะภริยามีสิทธิตามกฎหมายร้องขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ส่วนตัวของท่านเพื่อนำไปขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้นั้นมาเป็นค่าเลี้ยงดูตามคำสั่งศาลต่อไปได้




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.