รายงานพิเศษการแก้ปัญหา "สลากกินแบ่งรัฐบาล" หรือ"ลอตเตอรี่" ที่ขายเกินราคาในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นถึงการพยายามแก้ปัญหาของ "สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล" ที่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงการเดินเกมของ "นายสมชัย สัจจพงษ์" ประธานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในการผลักดันนโยบาย ทั้งการส่งเจ้าหน้าที่ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่ตรวจตราเข้ม ประกาศลั่นมาตรการพร้อม "ยึดโควตา" คืนจากผู้ค้ารายย่อยเดิมที่ตัดโควตาขายกินหัวคิว ท้ายที่สุดถึงขั้นตีตราหน้าสลาก การันตีราคาใบละ 80 บาท บังคับให้ผู้ขายต้องติดบัตรประจำตัวแต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือราคาสลากยังคงขายเกินราคาแทบจะทุกพื้นที่ แม้แต่หน้าสนามบินน้ำ ใกล้สำนักงานสลากฯ เอง ก็ยังคงพบเห็นการรวมชุดขาย ขายเกินราคาจนดูเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกันกับการยึดคืนโควตาที่ดูยังห่างไกลจากความสำเร็จขณะที่ "พล.ต.ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์" ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "มือใหม่" ในธุรกิจเกมพนันระดับชาติ การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา จึงส่อเค้าโครงมาถึงทางตันทุกมาตรการจึงเป็นเรื่องพอถูไถ ที่พร้อมจะโยนผ้ายอมแพ้ ภายใต้ข้อจำกัดที่ยุ่บยั่บเป็นเรื่องที่ผู้บริหารสำนักงานสลากฯ ทุกคนเข้าใจดีว่า การไปดึงโควตาคืนจากรายย่อย มูลนิธิ นิติบุคคล รวมกว่า 60-70 ล้านฉบับคืน ในระยะเวลาสั้นๆ มาจัดสรรให้เกิดความเป็นธรรม เป็นเรื่องที่ทำได้แต่ต้องใช้เวลาขณะที่ผู้ค้าสลากรายย่อยปลายทางที่เดินเร่ขาย ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง หลงเหลือกำไรถึงมือคู่ละไม่กี่บาท การไปไล่จับไล่ต้อนจึงกลายเป็นการซ้ำเติม ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงทางออกขาหนึ่งในการแก้ปัญหาสลากเกินราคาคือการจัดสรรโควตาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทบทวนการต่อโควตาปีต่อปี ส่วนอีกขาหนึ่ง คือการรื้อใหญ่ข้อกฎหมาย พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 ที่ล่าสุดผ่านเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งผู้ค้าและฝ่ายกฎหมายร่างกฎหมายดังกล่าวได้มีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ สลากฯ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา ก่อนเสนอเข้าอีกครั้งในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2557 และผ่านมติบอร์ดพร้อมเสนอ นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง พิจารณาในช่วงเดือนม.ค. 2558 หากไม่ติดขัดประการใด ก็จะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ก่อนส่งไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างกฎหมายภายในปี 2558หนึ่งในสาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมาย และประธานกรรมการสลากฯ มั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาอย่างได้ผลชะงัด คือการเปิดทางให้สำนักงานสามารถดำเนินการ "การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ"พร้อมยกตัวอย่าง อาจหมายถึง"สลากออนไลน์"ที่ยังคงติดอยู่ในกระบวนการชั้นศาลพิจารณาคดีการออกสลากแบบขูด การออกสลากเช่นเดียวกันกับที่ต่างประเทศดำเนินการในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจและแนวทางปัดฝุ่น "หวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว" ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งแนวทางหลังสุดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสายตาจับจ้องเนื่องจากในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้ามนำเรื่องหวยบนดินมาเป็นเงื่อนไขถล่ม และรุมประณามทั้งเรื่องมอมเมาประชาชน และการใช้เงินกำไรหว่านไปทั่ว เพราะกำไรจากหวยบนดินเป็นเงินนอกงบประมาณทำให้รัฐบาลสามารถตัดสินใจช่วยเหลือชุมชนต่างๆ หรือองค์กรต่างๆ ได้ทันทีแม้ประชาชนจะได้รับอานิสงส์ รวมไปถึงกลุ่มนักเรียน-นักศึกษายากจน เพราะหนึ่งในโครงการนำเงินหวยบนดินมาช่วยคือเรื่องการศึกษาแต่ในทางกลับกันพรรคเพื่อไทย (ในขณะนั้น) ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น จนถูกฝ่ายตรงข้ามมองค้อนและหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาโจมตีถูกข้อหาซื้อเสียงทางอ้อม และใช้เงินหวยบนดินโดยไม่ผ่านระบบงบประมาณที่สำคัญแม้ไม่ได้บอกแต่รับรู้กันอยู่คือฝ่ายตรงข้ามหวาดหวั่นต่อคะแนนเสียง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้จากการหว่านเงินหวยบนดินช่วยเหลือไปทุกหย่อมหญ้าการออกหวยบนดินในยุคนั้น ประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยรูปแบบเกมการเล่น ที่มุ่งดักทางหวยใต้ดิน โดยมีรูปแบบเกม ทั้ง 2 ตัวบน 2 ตัวล่าง 3 ตัวบน 3 ตัวล่าง และ 3 ตัวโต๊ด อีกทั้งยังจูงใจด้วยระบบการจ่ายรางวัลแจ๊กพอตรัฐบาลขณะนั้นอ้างว่าเป็นนโยบายที่สามารถลดปัญหาหวยใต้ดิน และรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแทนที่เจ้ามือหวยใต้ดินเฉลี่ยปีละกว่าแสนล้านบาท โดยงบประมาณส่วนหนึ่ง จะนำไปใช้ในการจัดทุนการศึกษา และเพื่อประโยชน์อื่นๆการออกหวยบนดิน ในระหว่างปี 2546-2549 รวมทั้งสิ้น 80 งวด คิดเป็นจำนวนเงิน 1.34 แสนล้านบาท เป็นกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว 2.95 หมื่นล้านบาทขณะเดียวกันยังแก้ปัญหาราคาขายสลากใบปรับลดลงอย่างมาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไปซื้อหวยบนดิน เพราะสามารถเลือกเลขและราคาไม่แพงมีการคำนวณว่าหวยบนดินสร้างรายได้เข้ารัฐ เฉลี่ยงวดละ 3,000 ล้านบาท คิดเป็นเดือนละ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 72,000 ล้านบาทการออกหวยบนดินต้องสิ้นสุดลงภายหลังเกิดการรัฐประหารในปี 2549 โดยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มารับช่วงต่อจากคณะรัฐประหาร สั่งยกเลิกนโยบายหวยบนดิน โดยชี้แจงว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) มีคำสั่งให้สำนักงานสลากฯ ระงับการขาย รวมถึงการใช้จ่ายเงินที่ได้มาจากการขายหวยบนดิน เพราะเห็นว่าเงินที่ได้จากการขายมีการนำไปใช้จ่ายอย่างไม่โปร่งใสท้ายที่สุดในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2552 ตัดสินความผิดคดีหวยบนดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการนำรายได้ในการออกหวยบนดินคืนสู่สังคม ถือเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ.2491 มาตรา 4 และมาตรา 13 ให้ดำเนินคดีตามพ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และมาตรา 27 แก่คณะรัฐมนตรี ชุดพ.ต.ท.ทักษิณ และคณะกรรมการสลากฯ ในสมัยนั้น รวม 47 คน แทบยกคณะ เรียกว่าเป็นการปิดประตูตายหวยบนดินรัฐบาลในชุดต่อๆ มา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แทบไม่กล้ายุ่งเรื่องนี้เพราะเกรงจะเป็นเงื่อนไขโดนบ่อนทำลายขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ยากจะดำเนินการเพราะโจมตีไว้เยอะการยกเลิกหวยบนดินทำให้คนที่สบายใจที่สุดคือ "กลุ่มหวยใต้ดิน" ซึ่งมีเงินสะพัดแต่ละงวดหลายหมื่นล้านบาท และ 5 เสือ กองสลากฯ ที่สามารถเพิ่มราคาขายส่งสลากได้เท่าที่ต้องการกระทั่งมาถึงยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โอกาสเหมาะที่จะนำหวยบนดินกลับมาอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างเรื่องแก้สลากเกินราคาและยังได้ของแถมเป็นเงินสดจำนวนมหาศาล ที่จะมาช่วยอุดรูรั่วจากสารพัดโครงการที่รัฐบาลสวมบท "ซานตาคลอส" แจกจ่ายตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ามาบริหารประเทศเรียกว่าได้ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง สามารถแก้ปัญหาสลากเกินราคาแถมได้เงินเข้ารัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก เหมือนกิน 2 ต่อแถมเข้าฮอสได้อีกประธานสลากฯ ยืนยันว่า หากมีการฟื้นหวยบนดิน ต้องเขียนข้อกฎหมายให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น การจัดสรรรายได้เข้ารัฐจะต้องทำให้มีความชัดเจน ขณะเดียวกันมีแนวคิดมีการจัดสรรโครงสร้างรายได้กองสลากฯ ใหม่อย่างไรก็ตาม เส้นทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ด้วยการฟื้นหวยบนดิน จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นโยบายนี้ยังต้องตอบคำถามในมิติ สังคม จริยธรรม ศีลธรรม มากกว่า มิติทางด้านกฎหมายเพียงอย่างเดียวเช่น เป็นการส่งเสริมให้เกิดการพนัน สวนทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ที่สำคัญต้องผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ที่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ผู้ที่สั่งยุติการจำหน่ายหวยบนดินเมื่อปี 2549 นั่งร่วมพิจารณาอยู่ด้วย หากไม่สามารถตอบคำถามที่หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายได้ ก็อาจถูกตีตกในขั้นตอนต่อมาหากผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีได้ ก็ต้องไปลุ้นอีกเฮือกใหญ่ ในชั้นพิจารณาสมาชิก สนช. ซึ่งมีสมาชิกผู้ทรงภูมิอีกหลายรายพร้อมจะตีรวนกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่เห็นชื่อหวยบนดินอย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่านี่เป็นยุครัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาดที่สุดยุคหนึ่ง นอกจากนี้ยังอยู่ในช่วงที่ทำอะไรก็ดีไปหมด แม้แต่โครงการที่รัฐบาลที่แล้วถูกโจมตี เมื่อรัฐบาลนี้หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นก็ได้รับเสียงแซ่ซ้อง หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าปัดแข้งปัดขาหากรัฐบาลหรือพูดให้ตรงๆ คือพล.อ.ประยุทธ์ ทุบโต๊ะจริงๆ คงไม่มีใครกล้า "แอะ" แน่นอน