มติชนรายวัน 22 ธันวาคม 2557
(จากซ้าย) พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ, ยุทธพร อิสรชัย, จาตุรนต์ ฉายแสง, เกษม เพ็ญภินันท์
|
หมายเหตุ - ความคิดเห็นของนักวิชาการ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และนักการเมือง ต่อกรณีข้อเสนอให้มีการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ตั้งองค์กรทำงานคู่ขนานและติดตามการปฏิรูปด้านต่างๆ ให้ทำงานต่อไปได้อีก 5-10 ปี เพื่อให้ สปช.เข้าทำหน้าที่สานต่อการปฏิรูปให้เกิดผลสำเร็จ
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ
สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านอื่นๆ
ข้อเสนอมีเพียงว่า จะมีรูปแบบองค์กรจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อเนื่องและทำให้รัฐธรรมนูญนี้สำเร็จตามกรอบเวลา ตอนนี้ในคณะกรรมการวิสามัญมีเรื่องเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปสู่ความสำเร็จ จะเป็นองค์กรเช่นนั้นมากกว่า และจะมีคณะกรรมการปรองดองที่มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ เป็นประธาน เริ่มทำงานตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะทำให้ความขัดแย้งลดลง ส่วนรายละเอียดของข้อเสนอให้มีองค์กรมาคอยดูแลการปฏิรูปของรัฐบาลถัดไปนั้นยังไม่ชัดเจน ยังไม่ได้คุยรายละเอียด คืองานปฏิรูปเป็นงานที่ไม่ใช่จะจบได้ภายในเดือนสิงหาคม จะโหวตรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ได้จบตรงนั้น ต้องทำต่อเนื่องไป ประการหนึ่งคือจะต้องมีกฎหมายลูกมารองรับด้วย เป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไป และการปฏิรูปนั้นไม่ใช่เป็นแผนเพียง 1 ปีจบเมื่อมีการเลือกตั้ง ต้องต่อเนื่องออกไปอีก ต้องติดตามดูการขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญไปสู่ความสำเร็จ อีกอย่างต้องติดตามดูกระบวนการปรองดองจะต้องมีต่อไป ไม่อย่างนั้นใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะเข้ามาแก้รัฐธรรมนูญที่ออกมาใหม่ ปี 2 ปี ก็มาแก้ ไม่ได้ ต้องให้รัฐธรรมนูญได้ทำงานของตัวเองไปก่อน
แนวคิดของผมคือต้องมีตัวแทนขึ้นมา หากเป็นคนไม่เคยร่วมกับการปฏิรูปเลยเข้ามาทำ คงทำได้ยาก เพราะสมาชิก สปช. ขนาดประชุมกัน 3 วัน ยังมีความคิดเห็นหลากหลายมาก หากนำคนไม่เคยร่วมมาทำตรงนี้ อาจจะไปคนละทิศละทาง เขาอาจไม่เข้าใจในกรอบของเรื่องต่างๆ เพราะต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด ตอนนี้ไม่มั่นใจว่าอยากจะให้องค์กรดังกล่าวนั้นอยู่ถึง 3 ปี หรือ 1 สมัยรัฐบาลที่จะเข้ามา เผื่อมีข้อเสนอเฉพาะกาล
ส่วนอำนาจขององค์กรดังกล่าวคงไม่มีอำนาจไปบังคับอะไร เป็นผู้ประสานงานมากกว่า จะเป็นผู้คอยกำกับหรือออกคำสั่งรัฐบาล คอยประสานงานและอำนวยความสะดวกเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เดินไปได้ด้วยตัวเอง เพราะรัฐบาลใหม่ไม่ดำเนินการปฏิรูปนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เราเขียนในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บังคับด้วยสิ่งที่ควรทำ ด้วยเวลา และมีหน่วยติดตามประเมินผล และมีหน่วยงานควบคุมเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลด้วย ออกนอกเส้นทางไม่ได้เลย ฉะนั้นต่อไปนี้คนมาเป็นรัฐบาลจะไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว และการเมืองบนท้องถนนก็ไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนด้วย พูดง่ายๆ ต่อไปต้องเดินตามกรอบ เข้าตามตรอก ออกตามประตู
ส่วนจะสืบทอดอำนาจหรือไม่นั้น ทุกคนก็เห็นไม่ใช่ หรือว่าในสภาปฏิรูปแห่งชาติ แม้จะถูกเลือกมาโดย คสช. แต่ คสช.ก็ควบคุมไม่ได้ เห็นมาหลายวาระแล้ว เนื่องจาก สปช.มีอิสระในตัวเองสูงมาก เริ่มตั้งแต่โหวตให้คนนอก 5 คน มาร่วมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ถูกล้มมาแล้ว จะให้เสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญให้นำคนภายนอกเข้ามา โดยไม่ใช่ทาง สปช.เป็นผู้เสนอเข้ามา ก็ถูก สปช.ล้ม ทุกคนน่าจะเห็นแล้วว่า สปช.ไม่ถูกชี้นำ
ยุทธพร อิสรชัย
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เงื่อนไขที่สำคัญของ สปช.มี 2 เงื่อนไขสำคัญ คือ หัวข้อการปฏิรูปค่อนข้างกว้างและหลากหลายถึง 11 ด้าน หากเงื่อนไขกว้างเกินไปอาจทำให้การปฏิรูปไม่สัมฤทธิ์ผลและไม่เกิดเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเงื่อนไขสำคัญการปฏิรูปครั้งนี้คือการลดความขัดแย้งในสังคม ขณะนี้ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างเท่าไรนัก เงื่อนไขที่ 2 คือ ระยะเวลากรอบการทำงานระบุชัดเจนในรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่าจะต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 120 วัน หลังจากจัดตั้ง สปช. สปช.จะไปปรับเปลี่ยนแก้ไขระยะเวลาการทำงาน เท่ากับต้องไปเสนอแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว คาดว่าทำได้ยากพอสมควร เพราะสังคมจะเกิดคำถามขึ้นมาได้ เพราะปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สังคมสงบเพราะด้วยอำนาจของ คสช.ที่คงกฎอัยการศึกเอาไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีความขัดแย้งอะไร แต่ความจริงความขัดแย้งยังคงอยู่ เพียงแต่คนแสดงออกไม่ได้ ดังนั้น หากเกิดประเด็นอ่อนไหวทางสังคมขึ้นมาอีก อาทิ นายกรัฐมนตรีเป็นคนนอกได้หรือไม่ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะมีแบบแต่งตั้งด้วยได้หรือไม่ หรือกระทั่งการต่ออายุ สปช.เองก็ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวเช่นเดียวกัน เพราะจะนำไปสู่ข้อสังสัยในสังคมว่าสุดท้าย คสช.จะอยู่ต่อด้วยหรือไม่ แน่นอนหากไม่มีคำตอบดีพอว่าจะต่ออายุ สปช.ไปทำไม ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด เพราะที่ผ่านมาระยะเวลา 3 เดือน ตั้ง สปช.ก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่างมาอธิบายในสังคมได้มากนัก
คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องต่ออายุ สปช. เพราะด้วยตัวเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จไม่ทัน 120 วันจะถูกยุบ และจะมีการตั้งคณะใหม่ขึ้นดำเนินการแทน แนวคิดดังกล่าวดีอยู่แล้ว เพราะเท่ากับหากไม่ทำให้เสร็จตามระยะเวลาก็เท่ากับไม่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ดีหากจะเปลี่ยนตัวคนทำใหม่ และในรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็ได้ระบุไว้อีกว่า สปช.หรือกรรมาธิการชุดเดิมร่างรัฐธรรมนูญไม่ทัน ไม่สามารถกลับเข้ามาเป็นอีกได้ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต่ออายุ สปช.แต่อย่างใด
ส่วนข้อกังวลของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่ารัฐบาลชุดต่อไปมาจากการเลือกตั้งจะไม่ได้สานงานต่อนั้น สปช.ก็สามารถบรรจุหัวข้อเพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการต่อได้อยู่แล้ว หรือการจัดทำเป็นลักษณะกลไกต่างๆ ดำเนินการคู่ขนานไปกับรัฐบาลใหม่ อาทิ สมัชชาปฏิรูปอาจจะเดินหน้าต่อจาก สปช. โดยนำสมาชิก สปช.เดิมหมุนเวียนเข้ามาทำงานก็ได้เหมือนกัน ส่วนหากจะต่ออายุ สปช.ไปถึง 5-10 ปีนั้น นานเกินไป เนื่องจาก สปช.ชุดนี้ไม่ได้มีการยึดโยงกับประชาชนโดยตรง เพราะแม้กระทั่งสภาฯมาจากการเลือกตั้งยังมีวาระเพียง 4 ปีเท่านั้น หากจะขยายนานแบบนี้อาจเป็นการผูกขาดอำนาจมากเกินไป
จาตุรนต์ ฉายแสง
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย
การต่ออายุ สปช.เป็นการสืบทอดอำนาจที่มาจากการรัฐประหารแบบหนึ่ง เป็นความต่อเนื่องในการวางระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เวลานี้ก็ต้องตั้งคำถามว่าความคิดในการต่ออายุ สปช.นี้จะเป็นความคิดเพียงส่วนเดียวของการพยายามจะสืบทอดการปกครองที่ไม่เป็นระบบประชาธิปไตยต่อไปหรือไม่ เพราะเฉพาะรัฐธรรมนูญก็มีปัญหาว่าแนวโน้มคงเป็นรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคม หรืออาจจะเพิ่มความขัดแย้งในสังคมให้มากขึ้น
ส่วนการปฏิรูป แสดงความเห็นไปบ้างแล้วว่า การปฏิรูปที่กำลังจะทำกันอยู่ขาดความชอบธรรม เนื่องจากผู้ทำไม่ได้มาจากประชาชนและไม่ได้มีกระบวนการรับฟังความเห็นประชาชน รวมทั้งไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่การปฏิรูป ไม่ใช่ความก้าวหน้า แต่เป็นความล้าหลังและขาดประชาธิปไตยตรงที่ว่าพยายามทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในหลายด้าน คนส่วนน้อยที่ประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยตัวของมันเองก็ขัดกับแนวความคิดที่ว่าจะคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนอยู่แล้ว จริงๆ แล้วการปฏิรูปไม่ควรเกิดขึ้นในยุคที่มีการปกครองโดยระบอบเผด็จการแบบปัจจุบัน การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ก็ควรจะเป็นการปฏิรูปเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว เมื่อมีความพยายามจะทำให้เกิดการปฏิรูปมากมายหลายด้านเต็มไปหมด ถ้าทำในเวลาสั้นๆ ก็จะเสร็จเพียงบางส่วน เป็นเรื่องดีที่เสร็จเพียงบางส่วน เพราะหากเสร็จทั้งหมด จะเป็นเรื่องเสียหายอย่างมาก เพราะจะแก้ไขยากมาก รวมทั้งจะใช้เวลาในการแก้ไขอีกนาน เป็นสิบๆ ปี
การต่ออายุ สปช.ออกไปอีก ก็เท่ากับเรากำลังจะวางระบบการปกครองให้เกิดการปกครองที่อยู่ในระบอบเผด็จการกันไปอีกหลายปีนั่นเอง ถ้าการปฏรูปต้องทำต่อเนื่องไป ถามว่าแล้วการเลือกตั้งจะมีความหมายอะไร ประชาชนยังจะกำหนดอะไรได้อีก เพราะการออกกฎหมาย การใช้อำนาจทางบริหาร ถูกครอบอยู่โดยแนวคิดในการปฏิรูป และอำนาจของ สปช.ไปหมดแล้ว
แนวความคิดต่ออายุ สปช.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามวางระบบเผด็จการอย่างยั่งยืน สังเกตได้จากการวางแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว และบอกไว้ด้วยว่าให้ไปหาทางป้องกันไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ จริงๆ แล้วการปฏิรูปนั้นเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในระบอบประชาธิปไตยการใช้อำนาจในการออกกฎหมาย กับอำนาจในการบริหารต้องเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน ฉะนั้นในช่วงหลังการรัฐประหาร ก่อนการคืนอำนาจให้ประชาชนก็จะทำอะไรที่สำคัญ จำเป็น และเป็นการวางระบบการปกครองอย่างยั่งยืน เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการปกครองในระบบเผด็จการ การที่คนใน สปช.คิดอย่างนี้นอกจากจะเป็นการทิ้งปัญหา เดิมเราคิดว่า สปช.กำลังจะทิ้งปัญหาสลับซับซ้อนไว้ให้กับสังคม แต่ถ้ามีการต่ออายุ สปช.ก็จะเท่ากับเป็นการวางระบบการปกครองที่เป็นปัญหาอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทย
เกษม เพ็ญภินันท์
อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไม่มีความจำเป็น เพราะว่าถ้ารัฐบาลต่อไปมาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลควรเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายหรือวางแผนพัฒนาประเทศ หรือแม้แต่การปฏิรูป เพราะรัฐบาลนั้นมาจากบนพื้นฐานของฉันทามติของประชาชนเลือกเขาเข้ามาทำหน้าที่นี้ตามข้อเสนอต่างๆ ที่ได้หาเสียงไป คือ สปช.มีหน้าที่ ภารกิจเพียงแค่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น สปช.ไม่ได้มีหน้าที่อันใดตลอดเวลาหรือมากไปกว่านั้น
มองไม่เห็นข้อดีของ สปช.จะแปลงร่างมาเป็นองค์กรบางอย่างคอยอำนวยความสะดวกหรือที่ปรึกษาแก่รัฐบาลชุดหน้า ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดหน้าจะบริหารประเทศหรือจัดตั้งคณะที่ปรึกษาขึ้นมาเอง สปช.ควรจะหมดบทบาทและภารกิจเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น การปฏิรูปประเทศนั้นไม่ได้ทำแค่ปีสองปี การปฏิรูปเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ภายใต้กระบวนการพัฒนาและการบริหารจัดการของภาครัฐในส่วนต่างๆ รวมทั้งในภาคประชาสังคมด้วย ต้องทำทุกส่วน ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งทำหน้าที่นี้ ถึงไม่ใช่ สปช.มาเป็นองค์กรตรงนี้ ก็ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ขององค์กรนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
ประเด็นสำคัญมี 2 ประเด็น คือ 1.อำนาจหน้าที่ใดมารองรับการตั้งองค์กรนี้ ใครเป็นผู้ตั้ง มีไว้ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าไม่มี อำนาจหน้าที่นี้มาจากไหน รัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลชุดหน้าเป็นผู้ตั้ง คือคำถามเหล่านี้จะถูกถามโดยตลอดในแง่ของที่มาของความชอบธรรมในการจัดตั้งองค์กรดังกล่าว 2.บทบาทภารกิจในการปฏิรูปประเทศขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ ได้รับฉันทามติตามกระบวนการประชาธิปไตยมาทำหน้าที่ ฉะนั้นอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่รัฐบาลชุดนั้นในการบริหารประเทศและปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่ต้องเป็นคนกลุ่มนี้ถึงจะแปลงร่างมาเป็นองค์กรอะไรสักอย่างแล้วทำหน้าที่ต่อ ภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจของคนกลุ่มเดียว เป็นภารกิจโดยรวมของกระบวนการประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม และการมีส่วนร่วมตรงนั้นคือผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ไม่เห็นด้วยอยู่แล้วจะมีองค์กรมาทำหน้าที่เหมือนเป็นคุณพ่อรู้ดี ต่อไปให้กระบวนการประชาธิปไตยปฏิรูปตัวมันเอง วิถีประชาธิปไตยต้องให้คนทุกคนมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางสังคมร่วมกัน