ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ว่า เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนวรับที่ระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ จากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงปีข้างหน้า ภายหลังจากรายงานการวิจัยของเฟดสาขาซานฟรานซิสโกสะท้อนว่า นักลงทุนอาจประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ สถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยในช่วงท้ายๆ สัปดาห์ ก็เป็นปัจจัยกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ (12 ก.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.18 เทียบกับระดับ 32.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (5 ก.ย.) ค่าเงินบาท
 

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (15-19 ก.ย.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องติดตามท่าทีของเฟดภายหลังการประชุมนโยบายการเงิน (16-17 ก.ย.) ซึ่งหากสะท้อนสัญญาณการเตรียมคุมเข้ม และ/หรือมีการให้แนวทางของแผนทยอยถอยออกจากนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย ก็อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญประกอบด้วย ผลการสำรวจภาคการผลิตเดือนก.ย. ของเฟด รวมถึงเครื่องชี้ตลาดที่อยู่อาศัย และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนก็อาจจับตาผลการประชุมกนง. (17 ก.ย.) และการลงประชามติของสก็อตแลนด์ในการแยกตัวเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร (18 ก.ย.) ด้วยเช่นกัน     

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปรับลดลงเล็กน้อย จากความกังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,581.36 จุด ลดลง 0.19% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 19.45% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 56,140.99 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 685.76 จุด เพิ่มขึ้น 1.55% จากสัปดาห์ก่อน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยทรงตัวในวันจันทร์ โดยนักลงทุนรอดูการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ก่อนที่จะแกว่งตัวลดลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ตามตลาดต่างประเทศ จากความกังวลถึงโอกาสที่เฟดอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยมีแรงซื้อหุ้นกลับจากนักลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย
 

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (15-19 ก.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,600 จุด หากผลการประชุมของเฟดไม่ได้บ่งชี้ถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วมากนัก โดยจุดสนใจของตลาดคงจะขึ้นอยู่กับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งอาจจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า ขณะที่ตลาดคงจะติดตามเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ ที่จะทยอยรายงานออกมา รวมถึงปัจจัยในประเทศที่สำคัญโดยเฉพาะผลการประชุม กนง.