องค์การอนามัยโลกหรือดับเบิลยูเอชโอ (WHO) ประกาศคำเตือนเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสมรณะอีโบลาในประเทศไลบีเรีย ภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก อาจเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม โดยจากประมาณการคาดว่า จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกหลายพันคน ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์หลังจากนี้

ทั้งนี้ จากยอดเหยื่อเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตอย่างน้อย 2,100 คน ในจำนวนนี้อยู่ในไลบีเรียถึง 1,089 คน ซึ่งดับเบิลยูเอชโอพบว่า มาตรการป้องกันที่ใช้กันอยู่ อาทิ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายหรือสารคัดหลั่งของผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ กลับยับยั้งการแพร่ระบาดไม่ได้เท่าที่ควร เหมือนกับประเทศอื่นที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างกินี เซียร์ราลีโอน หรือไนจีเรีย

นอกจากนี้ ดับเบิลยูเอชโอยังพบด้วยว่า รถที่ใช้ขนย้ายผู้ป่วยในไลบีเรียเป็นตัวการอย่างดีที่ทำให้เชื้อแพร่ระบาดไปได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัญหาเรื่องศูนย์รักษาผู้ป่วยไม่เพียงพอก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านหรือชุมชนที่อยู่อาศัย เพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์การและหน่วยงานต่างๆที่ดูแลเรื่องการแพร่ระบาด ต้องยกระดับมาตรการการยับยั้งไวรัสมากขึ้นกว่าเดิม 3 ถึง 4 เท่า

ขณะที่ศูนย์รับมือการแพร่ระบาดไวรัสอีโบลาของเซียร์ราลีโอน เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่รัฐบาลจะประกาศเคอร์ฟิวห้ามผู้คนออกนอกเคหสถานเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 19-21 ก.ย. นั้น จะมีการส่งอาสาสมัครกว่า 20,000 คน เข้าไปตรวจสอบทุกครัวเรือน เพื่อดูว่าครอบครัวใดมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเซียร์ราลีโอนมิได้ชี้แจงว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอาสาสมัครที่เดินทางไปตามบ้านจะไม่เป็นตัวพาหะเสียเอง ขณะที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน เตือนก่อนหน้านี้ว่า การประกาศเคอร์ฟิวยิ่งทำให้ผู้ติดเชื้อกลัว ไม่กล้าแสดงตัว และนำเชื้อไปติดต่อสู่คนอื่นๆยิ่งกว่าเดิม