ครม.เพื่อนพี่น้อง"ประยุทธ์"จัดผังอำนาจ เปลี่ยนหัวกองทัพ สยบคลื่นใต้น้ำ ใน-นอกคสช.
 


ครม.เพื่อนพี่น้อง"ประยุทธ์"จัดผังอำนาจ เปลี่ยนหัวกองทัพ สยบคลื่นใต้น้ำ ใน-นอกคสช.


ครม.เพื่อนพี่น้อง

ในบัญชีคณะรัฐมนตรี "ประยุทธ์ 1" จำนวน 32 คน มีทหาร-ตำรวจติดยศนายพลเข้ามาเป็นเสนาบดีถึง 12 คน ส่วนพลเรือน 20 คนทหาร-ตำรวจ จำนวน 12 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ. เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

มากกว่าคณะรัฐมนตรีที่ มาจากการรัฐประหารในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มีทหาร-ตำรวจ 4 คน คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกฯ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รมว.คมนาคม พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม และ พล.ต.ท.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ รมช.มหาดไทย

และมากกว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ที่มีทหาร-ตำรวจ รวม 9 คน ได้แก่ พล.ต.อ.เภา สารสิน รองนายกฯ พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ รมว.กลาโหม พล.อ.วิมล วงศ์วานิช

รมช.กลาโหม พล.อ.อ.พิศิษฐ์ ศาลิคุปต์ รมช.กลาโหม พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท รมช.คมนาคม พล.อ.อ.สุเทพ เทพรักษ์ รมช.คมนาคม พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี รมว.มหาดไทย พล.อ.อ.อนันต์ กลินทะ รมช.มหาดไทย พล.ร.อ.วิเชษฐ์ การุณยวณิช รมช.มหาดไทย


ในบรรดาขุนทหารตำรวจทั้ง 12 นาย ของคณะรัฐมนตรี ประยุทธ์ 1 ล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับ "พล.อ.ประยุทธ์" ทุกคน ทุกตำแหน่ง เป็นพี่น้องผองเพื่อนแทบทั้งสิ้น

ยกตัวอย่าง เช่น พล.อ.ประวิตร-พล.อ.อนุพงษ์ 2 รุ่นพี่-ผู้มีพระคุณในทหารสายบูรพาพยัคฆ์ หรือ พล.อ.ดาว์พงษ์ เพื่อนสนิท ซึ่งความสัมพันธ์ฉันพี่-น้องได้นำมาสู่การแตกแขนงกลายเป็นกลุ่มผองเพื่อน เช่น "เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น" ของ พล.อ.ประวิตร ที่ชิดเชื้อกับเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่าง "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" ที่เป็นรองนายกฯคุมเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งดรีมทีมเศรษฐกิจให้กับ ครม.ประยุทธ์ 1 ทั้ง "สมหมาย ภาษี" คัมแบ็กกลับมาเป็นรัฐมนตรี นั่งเก้าอี้เสนาบดีคลัง และดึงณรงค์ชัย อัครเศรณี มาเป็น รมว.พลังงาน

ขณะที่คอนเน็กชั่น "คณะเราอำนวยศิลป์" ของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็นำมาสู่การดึง "สุธี มากบุญ" อดีตรองปลัดมหาดไทย มานั่งเป็น รมช.มหาดไทย จนเกิดสูตรผสมการบริหารใน ครม.ประยุทธ์ 1 โดยกระทรวงใดที่มีขุนทหารเป็นเจ้ากระทรวง จะต้องมีอดีตข้าราชการในกระทรวงนั้น ๆ มานั่งประกบในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การบริหารงานราบรื่น

ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่น เตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 12 อย่าง พล.อ.ฉัตรชัย พล.อ.ธนะศักดิ์ พล.อ.ดาว์พงษ์ ก็ถูกดึงมารับตำแหน่งรัฐมนตรีเคียงข้างกับ ตท.13 และ 14 อาทิ พล.อ.อ.ประจิน พล.อ.ไพบูลย์ รวมถึง พล.อ.อุดมเดช ที่นั่งเป็น รมช.กลาโหม ควบเก้าอี้ว่าที่ ผบ.ทบ.

อย่างไรก็ตาม การที่มีทหารกินโควตารัฐมนตรีถึง 11 คน 13 ตำแหน่ง "พล.อ.ประยุทธ์" ชี้แจงว่า "ทหารมากทหารน้อย ผมว่าไม่ใช่ปัญหา ดูว่าปัญหาเกิดที่ไหน แล้วเราจะแก้อะไร วันนี้เราต้องการให้มีประชาธิปไตย แล้วก็ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพราะฉะนั้น ผมว่าอย่ามาดูกันตรงที่ทหารมากทหารน้อย"

"ผมใคร่ครวญดูแล้ว ถ้าไม่มีทหารเลยมันก็ไม่ได้ เพราะว่าความมั่นคงก็ต้องมีปัญหา ความสงบเรียบร้อยก็มีปัญหา บางคนบอกว่า เดี๋ยวต้องเอาลูกพี่ลูกน้อง ถ้าผมไม่มีรุ่นพี่ ไม่มีรุ่นน้อง ไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจเข้ามาทำงาน มันก็ไม่ได้อีก ผมพยายามที่จะเกลี่ยสัดส่วนเหล่านี้ให้ดี อย่าระแวงกันจนเกินไปนัก แล้วก็เถียงกันไปจนหาคนดีไม่ได้เลยในวันนี้"

"ทุกอย่าง ผมเป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้น ใครจะว่า ใครจะเสนอ ใครจะพวกใคร เดี๋ยวดูกันต่อไป ถ้าเขาทำงานไม่ดี มันก็ปรับใหม่ได้หมด รัฐบาลปรับได้ไม่รู้กี่ครั้ง ใครไม่ดีก็ออกไป ใครทำทุจริตก็ติดคุกไป ก็มีแค่นั้นจะกลัวอะไร ใช้กระบวนการประชาธิปไตยให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปไล่ล่าฆ่าฟัน"

"วันนี้ผม ไม่ใช่พรรคไหนเลย เป็นพรรคของคนไทย เดินหน้าประเทศไทย ฉะนั้นไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ไม่มี ผมต้องการให้ทุกคนมองชาติเป็นหลัก อย่าสนใจตัวบุคคลให้มากนัก"หลังการจัดผังอำนาจรัฐบาลเสร็จสิ้น จากนี้ก็เข้าสู่การจัดโผทหาร ซึ่งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีนั้น "พล.อ.ประยุทธ์" ได้ลงนามและส่งให้สำนักราชเลขาธิการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเป็นที่เรียบ ร้อยแล้ว

โดยรายชื่อ "ขุมอำนาจ" ที่สำคัญ ได้แก่ ตำแหน่ง "5 เสือ ทบ." และแม่ทัพภาคนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารที่มีสายสัมพันธ์ระนาบ เพื่อน-พี่-น้อง แทบทั้งสิ้น โดยยึดคุณสมบัติ "ไว้ใจได้" เป็นส่วนประกอบสำคัญ

เรียงลำดับตั้งแต่ "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 14 (ตท.14) รองผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.) ผงาดขึ้นเป็น ผบ.ทบ."บิ๊กโด่ง" ถือเป็น "น้องรัก" สายเลือด "ทหารเสือราชินี" ของ พล.อ.ประยุทธ์ และมีเส้นทางเติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21รอ.) ภายใต้ปีกกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จึงเป็นสาย "บูรพาพยัคฆ์" ต่อจาก "พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร- "พี่รอง" พล.อ.อนุพงษ์ และ "น้องเล็ก" พล.อ.ประยุทธ์จึงถือว่าเป็นคนที่ "3 ป." ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก ให้มาคุมกำลังรบ-กำลังหลัก และเป็นมือไม้ให้ "บิ๊กตู่"- "บิ๊กป้อม" ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย "สนามชัย 1" อีกตำแหน่งด้วยรายต่อมา "บิ๊กนมชง" พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ (ตท.12) ผช.ผบ.ทบ. ขยับเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. "เพื่อนร่วมรุ่น"-เพื่อนซี้ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากนี้ยังเปรียบเป็น "ถุงเงิน" ให้กับกองทัพบก "คนถือกระเป๋าเงิน" ให้ พล.อ.ประยุทธ์อีกด้วย เพราะผ่านตำแหน่งสำคัญคือ เจ้ากรมการเงินทหาร บก รองปลัดบัญชีทหารบก ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายส่งกำลังบำรุง นอกจากนี้ยังนั่งเก้าอี้ "เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์" อีกตำแหน่ง

ขณะที่ "น้องชาย" ร่วมสายโลหิตของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่าง "บิ๊กติ๊ก" พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) แม่ทัพภาคที่ 3 เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. จึงการันตีสรรพคุณเรื่องความไว้ใจ นอกจากนี้ยัง "ถูกวาง" ให้เป็น "เจเนอเรชั่น" ต่อไปในการ "สืบทอด"

ขุมอำนาจ หลัง พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.อุดมเดช ลงจากอำนาจด้านบุคคลที่ได้รับการ "ผลักดัน" จาก "บิ๊กป้อม" อย่าง "บิ๊กหมู" พล.ท.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย คสช. ดูแลความมั่นคงในช่วง คสช.ยึดอำนาจ ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ซึ่ง "บิ๊กหมู" ถือเป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์อีกคน และยังเป็น "น้องรัก" ของ พล.อ.ประวิตร อีกด้วยส่วน พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข (ตท.15) รองเสนาธิการทหารบก (รอง เสธ.ทบ.) และรองหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เป็น เสธ.ทบ. มีสายสัมพันธ์ทั้ง "รุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่" เพราะนอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.ปรีชา แล้ว ยังเป็น "วปอ.คอนเน็กชั่น" รุ่นที่ 50 ที่มี พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานรุ่นอีกด้วย

สำหรับแผงกำลังในส่วนของกองทัพภาคทั้ง 4 นั้น ยังเป็นนายทหารที่ได้รับความ "ไว้วางใจ-มือทำงาน" ให้กับ "พี่-น้อง" แห่งบูรพาพยัคฆ์แทบทั้งสิ้น ทั้งในปัจจุบัน และการ "วางฐานอำนาจ" ในอนาคต

ไล่ตั้งแต่ "บิ๊กโชย" พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ (ตท.16) ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายยุทธการ และยังได้รับความไว้วางใจจาก "บิ๊กตู่" เป็นหัวหน้าศูนย์ปรองดองเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (ศปป.) ผงาดเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ถึงแม้จะเป็นทหารสาย "วงศ์เทวัญ"

แต่สามารถ สร้างผลงานเข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศปป. นอกจากนี้ยังเคยได้รับความ "ไว้วางใจ" นั่งเก้าอี้ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) ซึ่งเป็นกองกำลังหลักในการคุมกำลังรบในกรุงเทพมหานครมาแล้วขณะที่ พล.ท.จารุเกียรติ ชัยวงษ์ (ตท.14) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ดีเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะเป็นนายทหารสาย "บิ๊กป้อม" เพราะทำงานให้กับมูลนิธิป่ารอยต่อของ พล.อ.ประวิตร มาโดยตลอดด้าน พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ (ตท.15) แม่ทัพน้อยที่ 3 เพื่อนร่วมรุ่น "บิ๊กติ๊ก" ขยับเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ต.ปราการ ชลยุทธ (ตท.15) รองแม่ทัพภาคที่ 4 สมหวัง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งระหว่างทำหน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจยะลา พล.ต.ปราการ ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 4 รับผิดชอบงานด้านยุทธการ งานข่าว งานการเมืองและการพัฒนาในพื้นที่ จึงได้รับความไว้ใจให้ดูแลและแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น "เพื่อนร่วมรุ่น" อีกคนของ พล.อ.ปรีชา

ส่วน "บิ๊กบี้" พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล (ตท.13) เสนาธิการทหาร ก็ได้เก้าอี้ "ปลัดกลาโหม" ไปเชยชม ซึ่งถือเป็น "เด็กในคาถา" ของ พล.อ.ประวิตร อีกคนที่ได้ดิบได้ดี ขณะที่ "พล.อ.ไพบูลย์" ที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสเข้าวินเป็น ผบ.ทบ. แทน "พล.อ.ประยุทธ์" แต่ก็ต้องหลีกทางให้ "พล.อ.อุดมเดช" ซึ่งในโผล่าสุดถูกขยับไปอยู่ตำแหน่งรองปลัดกลาโหม แต่ก็ได้รับการตกรางวัลให้เป็น รมว.ยุติธรรม เพื่อสานหน้าที่ฝ่ายบริหาร คุมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้การยึดอำนาจเสียของดังนั้น การแต่งตั้ง ครม.ประยุทธ์ 1 ที่เน้นเครือข่าย เพื่อน-พี่-น้อง และการจัดโผทหารเน้น เพื่อน-น้อง ที่ไว้ใจ จะกลายเป็นรากฐานให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่าฟันคลื่นลมเศรษฐกิจ-การเมือง ในอีก 1 ปีข้างหน้า เพื่อขึ้นโครงปฏิรูปให้เสร็จตามสัญญา

ที่สำคัญการจัดบัญชี คณะรัฐมนตรี และบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร สามารถลดอุณหภูมิการเมืองและคลื่นใต้น้ำภายใน คสช. และกองทัพได้ระดับหนึ่ง เมื่อคนที่พลาดหวังไม่ได้ขึ้นตำแหน่งสูงในกองทัพ ก็ยังได้เก้าอี้รัฐมนตรีปลอบใจ ที่เห็นชัดคือกรณีของ พล.อ.ไพบูลย์ขณะเดียวกัน ครม.ที่เต็มไปด้วย นายพลระดับหัวกะทิ มีตำแหน่งแห่งหนเป็น คสช. ซึ่งอยู่เบื้องหลังการเข้าควบคุมอำนาจ 22 พ.ค. ได้ถอดชุดลายพราง หันมาสวมเสื้อสูท คุมเกมด้านความมั่นคงด้านการเมือง และเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งกลาโหม-มหาดไทย-พาณิชย์-คมนาคม-ยุติธรรม กระชับอำนาจเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม

ภาพฉากการเมืองจากนี้ไป จะเป็นบวกหรือลบ...โปรดติดตาม


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.