คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
หลัง คสช.ยึดอำนาจการปกครองได้ไม่นาน ได้มีคำสั่งย้ายนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุดพ้นเก้าอี้ทันที พร้อมกับให้นายตระกูล วินิจนัยภาค รองอัยการสูงสุด ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
ดังนั้น จึงไม่ควรมีข้อสงสัยใดๆ ถึงบทบาทของอัยการสูงสุดคนใหม่ ว่าจะเป็นคนของระบอบทักษิณ คนของรัฐบาลเพื่อไทย อะไรแบบนั้น
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในการวิเคราะห์วิจารณ์ ความเห็นของอัยการในคดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หลังคณะทำงานของอัยการ พิจารณาสำนวนคดีจำนำข้าวของ ป.ป.ช. ซึ่งได้ชี้มูลความผิดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตจนรัฐเสียหาย
แล้วอัยการมีความเป็นเอกฉันท์ว่า สำนวนคดีของ ป.ป.ช.ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาได้
ความเห็นของคณะทำงานอัยการดังกล่าว ได้เสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนเซ็นคำสั่งว่าสำนวนของ ป.ป.ช.ยังไม่สมบูรณ์
สรุปว่ายังไม่สามารถดำเนินคดีทางอาญาต่ออดีตนายกฯปู ตามที่ ป.ป.ช.สรุปเสนอได้
จึงต้องเน้นย้ำว่า อย่ามองความวินิจฉัยของอัยการในกรณีนี้ ด้วยข้อหาระบอบทักษิณอะไรอีกเป็นอันขาด
ต้องพิจารณาจากสาระ มากกว่าด้วยอคติ ซึ่งอัยการได้ชี้ถึงข้ออ่อนของสำนวน ป.ป.ช. 3 ประเด็น
1.โครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการของรัฐบาลที่แถลงไว้เป็นนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ดังนั้นจึงควรรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ชัดว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการที่จะยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้วหรือไม่
2.ควรทำการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานให้สิ้นกระแสความว่า ภายหลังจากที่ได้ถูกท้วงติงจาก ป.ป.ช. และ สตง.แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตหรือไม่ อย่างไร ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร
3.ควรไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้ได้ความว่า พบการทุจริตในขั้นตอนใดและมีการทุจริตอย่างไร นอกจากนั้นมีการกล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) ว่า โครงการดังกล่าวมีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนปรากฏว่ามีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น
อ่าน 3 ข้อนี้แล้ว พอเห็นภาพได้ว่าสภาพของสำนวน ป.ป.ช.นั้น ไม่สมบูรณ์อย่างไร
โดยเฉพาะในข้อ 3 เรื่องงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ เป็นเรื่องที่สร้างความขบขันไปทั่วมาแล้ว เมื่อ ป.ป.ช.เปิดประเด็นนี้ออกมา
องค์กรอิสระกับการเล่นงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เคยอาศัยพจนานุกรมมาแล้ว นี่อาศัยงานวิจัยเพิ่มเข้ามาอีก
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์วิจัยเอาไว้ เช่น ผลการศึกษาเรื่องมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ตนฟันธงว่า ป.ป.ช.จะไม่สามารถชี้มูลความผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เลย
ฟังแล้วแปลได้ว่า งานวิจัยคือหัวใจสำคัญสุดของพยานหลักฐานในสายตา ป.ป.ช.
ไม่เท่านั้น นายวิชายังบอกว่า การทำงานของ ป.ป.ช.ต่อจากนี้จะใช้สหสาขาวิชาศาสตร์ คือ การผนึกกำลังระหว่างนิติศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น
ฟังแล้วอดนึกไม่ได้ต้องนึกถึงไสยศาสตร์
............
(ที่มา:มติชนรายวัน 5 กันยายน 2557)