ณรงค์ ขุ้มทอง : ปฏิรูปการศึกษา กับการพัฒนาทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง
 


ณรงค์ ขุ้มทอง : ปฏิรูปการศึกษา กับการพัฒนาทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง


 ณรงค์ ขุ้มทอง : ปฏิรูปการศึกษา กับการพัฒนาทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง

ปฏิรูปการศึกษา กับการพัฒนาทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง

โดย ณรงค์ ขุ้มทอง




การพัฒนาทางการศึกษาของไทย ในศตวรรษที่ 21 กำลังเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังและท้าทายเป็นอย่างยิ่งเพราะการพัฒนาดังกล่าวเป็นการรองรับการแข่งขันอย่างเสรีที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มอาเซียนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และรวมถึงการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับประเทศกลุ่มอื่นๆ ของโลก เช่น กลุ่มประเทศ G.C.C. เป็นกลุ่มค่อนข้างใหม่เป็นการรวมตัวของประเทศ กลุ่มอาหรับเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่าการรวมกลุ่มของประเทศดังกล่าวจะเป็นผลดีของประเทศในกลุ่ม A.E.C. เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูงมากและที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่มหาศาล คือ น้ำมัน เป็นกลุ่มที่ประชาชนบริโภคอาหารฮาลาล ซึ่งจะเป็นแหล่งตลาดที่ใหญ่และสำคัญยิ่งของไทยเราและกลุ่มประเทศใน A.E.C.

การเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดแขนงหนึ่งคือ การพัฒนาคนของเราให้พร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้านของกลุ่มประเทศดังกล่าวข้างต้น คือการพัฒนาทักษะการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Tndependent Study Skill) ทั้งนี้ เพื่อสร้างคนไทยรุ่นใหม่ สร้างคุณภาพทางด้านการเรียนการสอนและผลสัมฤทธิ์เทียบเคียงมาตรฐานสากล ยกระดับโรงเรียนของไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล (World Class Standerd School) ซึ่งโรงเรียนแต่ละโรงในประเทศไทยที่มีความพร้อมก็ควรยึดหลักกว้างๆ ดังนี้

1.หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักหาประเด็นมาตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน (Hypothesis Formulation)

2.หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสืบค้นเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น จากห้องสมุดห้องอินเตอร์เน็ต หรือจากการทดลองต่างๆ (Searching for Information) 3.หลักการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสรุปเนื้อหาและองค์ความรู้ที่ได้มาจากการฟัง, การอภิปราย, การทดลองมาคิดวิเคราะห์ พร้อมมีเทคนิคในการนำเนื้อหามาสรุปเป็นองค์ความรู้ ความสามารถ ถ่ายทอดให้คนอื่นได้อย่างเชี่ยวชาญ (Knowledge Formation)

4.หลักการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะในการสื่อสาร ในการนำเสนอองค์ความรู้ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ (Effective Com-munication) ซึ่งการสื่อสารผู้เรียนสามารถสื่อสารได้หลายภาษาหลายช่องทาง

5.หลักการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะรู้จักให้บริการสังคมและมีจิตสาธารณะ (Public Service) หลักการนี้เป็นวิธีการนำ

ความรู้สู่การปฏิบัติ แต่ผู้เรียนจะต้องมีความรู้รอบตัวรอบโลก และนำความรู้ให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์

หลักการ 5 ด้านข้างต้นเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาความพร้อมของผู้เรียน ผู้เขียนใคร่ขอเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการควรกำหนดให้ทักษะนี้เป็นทักษะบังคับและควรบรรจุไว้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเหมือนกิจกรรม

ลูกเสือ เนตรนารีหรือยุวกาชาด เหตุผลที่ผู้เรียนไม่เห็นด้วยที่มีแนวคิดให้วิชาการค้นคว้าด้วยตนเองเป็นอีกหนึ่งวิชาให้ผู้เรียน

ผู้เขียนเห็นว่าปัจจุบันเด็กไทยก็มีชั่วโมงเรียนมากระดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว และมีวิชาที่เรียนในหลักสูตรเป็นจำนวนมากเช่นกัน การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของคนไทยยังขาดการพัฒนาและส่งเสริม ดังนี้ อ.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมต.ช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวไว้ว่า ปัญหาการศึกษาของคนไทยคิดไม่เป็น ขาดความมุ่งมั่น อดทน ขาดหลักคิด สังคมไทยอ่อนแอไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน

หรือคุณมีชัย วีระไวทยะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระบบการศึกษาไทยเราสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ ขาดการส่งเสริมให้คิดและเรียนรู้ด้วยตนเองไม่มุ่งเน้นด้านคุณธรรมจริยธรรม ฝึกให้คนไทยเป็นลูกน้อง เป็นผู้ตาม รอรับคำสั่ง โรงเรียนไม่มีสื่ออุปกรณ์ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดและการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเต็มไปด้วยนักบริหาร นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ แต่ขาดคุณภาพและคุณธรรม การทุจริตคอร์รัปชั่นมีเกือบทุกองค์กร

ปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนเชื่อว่า เกิดจากรากฐานที่ล้มเหลวทางการศึกษา ที่ไม่สามารถสร้างให้คนไทยเข้มแข็ง มีคุณภาพ และคุณธรรมนั่นเอง



ฉะนั้น แนวทางหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าผู้รับผิดชอบด้านการศึกษาของไทย เอาจริงเอาจัง โดยการนำกระบวนการการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมาใช้อย่างเข้มแข็งจริงจัง โดยพัฒนาผู้เรียน 3 ทักษะดังนี้

1.ทักษะการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation Skill) เป็นทักษะที่ต้องการให้ผู้เรียนรู้จักกำหนดประเด็นของปัญหา รู้จักตั้งสมมติฐาน รู้จักเทคนิคการค้นคว้า รู้จักเทคนิคการแสวงหาความรู้ มีเทคนิคการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ ถ้าให้ผู้เรียนมีทักษะด้านนี้ที่สมบูรณ์ควรเพิ่มทักษะ Steplader Technigue เป็นวิธีการที่ให้ผู้เรียนร่วมกับสมาชิก มีส่วนร่วมในการคิด การทำงาน คิดวางแผนสร้างองค์ความรู้ ซึ่ง Steplader มี 5 ขั้นตอน

ขั้นที่ 1 ก่อนทำงาน ให้ผู้เรียนวางแผน

ขั้นที่ 2 ผู้เรียนนำปัญหาหรือองค์ความรู้ มาวิเคราะห์

ขั้นที่ 3 ผู้เรียนนำองค์ความรู้จากการค้นคว้ามาสร้างทางเลือกในการนำไปใช้

ขั้นที่ 4 ผู้เรียนนำข้อมูลมาสังเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ใหม่

ขั้นที่ 5 ผู้เรียนนำข้อมูลมาประมวล แล้วตัดสินใจขั้นสุดท้าย นำไปใช้

จะเห็นได้ว่าเทคนิค Steplader เป็นเทคนิคที่ผู้เรียน หรือครูผู้สอนสามารถนำมาใช้สอนหรือแนะนำผู้เรียนนำไปใช้จัดการเรียนรู้ หรือจัดการในการวางแผนการทำงานได้ และโดยเฉพาะหลังจากปี 2558 ประชาคมอาเซียนก็จะขับเคลื่อนเต็มรูปแบบ ฉะนั้น ถ้าเยาวชนไทยเราสามารถนำวิธีการ การเรียนรู้และค้นคว้าคำตอบเองออกมาใช้เต็มศักยภาพ และเชื่อว่าคุณภาพของคนไทยเราคงจะดีขึ้น ในเชิงคุณภาพทุกๆ ด้าน พร้อมที่จะแข่งขันในเวทีโลกและถ้าสามารถนำเทคนิค Steplader มาต่อยอด เสริมทักษะ การค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ให้ผู้เรียนก็ยังเสริมคุณภาพผู้เรียนให้มีคุณภาพได้อีกทางเช่นกัน

2.ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ (Communication and Presentation) เป็นทักษะที่มุ่งให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับมาวางแผน ใช้วิธีการและเทคนิคในการถ่ายทอดวิธีการสื่อความหมาย แนวคิดใหม่ๆ นำข้อมูลและองค์ความรู้ใหม่ๆ เสนอด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่หลากหลายและรัดกุม

ทักษะนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำแนวคิดจากทักษะ R.K.F.S. มาเขียนเป็นเอกสารทางวิชาการ และนำเสนอถ่ายทอดข้อมูล สามารถนำทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ (Contructionism) มาสอนให้ผู้เรียนนำมาใช้บูรณาการกับทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงานจากการทำโครงการ (Project Based learning)

อีกประเด็นที่สำคัญยิ่งของทักษะนี้ คือ ถ้าผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ ก็สามารถทำให้เยาวชนของไทย มีคุณภาพพอที่จะเข้าแข่งขันหรือสามารถนำไปใช้ในประชาคมอาเซียนได้ หลังจากปี 2558 ซึ่งผู้สอนหรือผู้เรียนจะต้องมีทักษะการสื่อสารและการนำเสนอพื้นฐานเบื้องต้น ดังนี้

1.1 ควรรู้ว่าเราจะสื่อสารในสถานการณ์ใด เวลาใด งานอะไร

1.2 ควรรู้ว่าเราควรสื่อสารสถานที่ใด

1.3 ควรรู้ว่าเราสื่อสารกับใคร สถานะของผู้ฟังเป็นอย่างไร

1.4 ควรรู้ว่าเราสื่อสารในกรอบของสังคม ศาสนา และวัฒนธรรมใด จึงจะเหมาะสม

1.5 ควรรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารอย่างไร

การสื่อสารและการนำเสนอเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนต้องใช้ในชีวิตประจำ นอกจากผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาแล้วก็ตาม แต่ผู้เรียนจะต้องเข้าใจบริบทอื่นๆ เพราะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Meteriel) การแลกเปลี่ยนทางอารมณ์ (Emotion) และการสร้างความสัมพันธ์ (Relation) และสุดท้ายผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดจะต้องประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1.เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี รวมพฤติกรรมที่แสดงออกที่ดีและเหมาะสม

2.มีความมุ่งมั่น คล่องแคล่วมั่นใจ

3.แสดงออกถึงความตั้งใจ และให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน

4.มีสื่อและเทคโนโลยีช่วยเสริมกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน และสอดคล้องกับความเป็นจริง

5.มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาอย่างชัดเจน และแม่นยำ

6.มีจิตวิทยาที่เสริมสร้างแรงใจ และเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน

7.มีจิตวิทยาในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสมาชิกได้ โดยมุ่งให้เกิดความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Understanding) ความถนัดหรือทักษะ (skill) และมีทัศนคติและจริยธรรมเชิงบวกเสมอ (Habbit)

ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอผู้เขียนคิดว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษาของไทย ควรนำมาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง

3.ทักษะการนำองค์ความรู้ไปใช้บริการทางสังคม (Social Service Activity Skill) หรือการสร้างบริการสาธารณะ (public Service) โดยผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติสู่สังคมให้มากที่สุด แต่ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าก่อนที่จะนำความรู้สู่สังคมได้นั้น ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถเบื้องต้น ดังนี้

1.ต้องสร้างวินัยในตนเอง ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย รู้ขอบเขตของหน้าที่และสิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม

2.ต้องตระหนักเสมอว่า ตนเองคือส่วนหนึ่งทางสังคม

รับผิดชอบต่อส่วนรวมต่อประเทศชาติและโลก

3.ต้องเป็นผู้ที่ตระหนักถึงปัญหา ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและต้องช่วยแก้ไข

4.ต้องยึดหลักธรรมในการทำเป็นชีวิต และพร้อมที่จะถ่ายทอดหลักธรรมที่ดีสู่สังคม

ทักษะนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งเช่นกัน เพราะเป็นทักษะที่ผู้เรียนต้องนำไปใช้ต่อสังคม ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนในปัจจุบันไม่ใช่ให้ผู้เรียนมีความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว (Acadamicknowleage) แต่ควรให้ผู้เรียนนำประสบการณ์เรียนรู้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ มีจิตใจที่สูงส่ง มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โลก เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน



ในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรป ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดจิตสำนึกในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม ผ่านกระบวนการเรียนรู้และการสอนที่เรียกว่า การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม (Service-Learning) ซึ่งมีผู้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการให้บริการแก่สาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของชุมชน (Taylor และ Ballengee-Morris,2004)

จะเห็นได้ว่า เป้าหมายของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมนั้น เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนและสังคม กล่าวคือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในเชิงวิชาการอารมณ์และสังคมควบคู่กันไปด้วย ขณะที่ชุมชนหรือสังคมก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ผู้เรียนเข้าไปให้บริการในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมอาสาสมัคร (Volunteer) ซึ่งในกลุ่มประเทศดังกล่าวจัดกิจกรรมอาสาสมัครหรือการให้บริการต่อสังคมโดยไม่รับค่าตอบแทนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเสริมเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรในรูปแบบที่เป็นวิชาการเลือกด้วย

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่าในปี ค.ศ.1999 มีโรงเรียนของรัฐกว่า 83% ที่มีนักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้บริการชุมชนและในปี ค.ศ.2005 สำรวจพบว่าโดยส่วนใหญ่นักเรียนมักปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสังคมในรายวิชาสังคมศึกษา (12%) วิทยาศาสตร์ (10%) และภาษาอังกฤษ (7%) (the National Center For Education Statistics, 2010)

ประเด็นสำคัญที่นักการศึกษาของไทยต้องนำไปขบคิด คือ หลักสูตรสถานศึกษาของประเทศได้นำแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ด้วยการบริหารสังคมมาเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรแล้วหรือยัง และหากทำแล้วอยู่ระดับใด (ข้อมูลเฉลิมลาภ ทองอาจ การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม)

สถานศึกษาหลายแห่งสรุปไปว่า การเรียนการสอนแบบโครงการ (Project Learning) เป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม ข้อสรุปดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะมิติของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรมสร้างความรู้ตามความสนใจของผู้เรียนเท่านั้น เพราะสิ่งที่ผู้เรียนสนใจอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือช่วยให้ปัญหาสังคมหรือชุมชนของเขาคลี่คลายไปก็เป็นได้ เราอาจจะเคยเห็นนักเรียนทำโครงงานประดิษฐ์หุ่นยนต์ ในขณะที่ชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่มีปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากอุตสาหกรรม การให้บริการต่อสังคมจึงต้องมองปัญหาใกล้ตัว หรือเป็นเรื่องที่สังคมเรียกร้องขอความช่วยเหลือก่อนเป็นหลัก

ดังนั้น กิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีนี้อาจอยู่ในรูปแบบอื่น นอกจากโครงงาน เช่น การเป็นอาสาสมัครในองค์กรศาสนา องค์กรเยาวชนหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือการฝึกงานในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่ให้บริการต่อสาธารณะ เป็นสาธารณะ เป็นต้น

จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเราจึงเห็นเยาวชนวัยรุ่นชาวต่างประเทศเข้ามาทำงานอาสาสมัครพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นทุรกันดาร ดังเช่น เคยปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา องค์มกุฎราชกุมารในเชื้อพระวงศ์ของประเทศอังกฤษ ทรงหยุดเรียนในมหาวิทยาลัยที่ทรงเรียนเป็นเวลา 1 ปี ทั้งนี้เพื่อเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครเข้าโครงการอนุรักษธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทวีปอเมริกาใต้ เป็นต้น ในขณะที่นักเรียนไทยอายุเท่ากัน อาจจะตั้งใจท่องตำรับตำราอยู่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยม โดยไม่เคยเหลียวมาสนใจเลยว่า ฝรั่งหัวแดงพวกนี้มาทำอะไรกัน และทำเพื่ออะไร

เมื่อปี 2548 ผู้เขียนมีโอกาสไปศึกษาดูงานด้านการศึกษา ณ ประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จะพบว่า การเรียนการสอนจะเน้นเนื้อหากับการปฏิบัติที่เข้มข้นมาก การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีความสำคัญมากพอๆ กับการเรียนในชั้นเรียน และนักเรียน นักศึกษาเหล่านี้จะเดินทางไปศึกษาในต่างจังหวัดในประเทศของตนเองและต่างประเทศ

ในช่วงปิดภาคเรียนจะเป็นอาสาสมัครในองค์กรต่างๆ จึงจะเป็นคำตอบได้ว่าทำไมคุณภาพทางการศึกษาของกลุ่มประเทศเหล่านี้จึงมีคุณภาพระดับต้นๆ ของเอเชียและระดับโลก

จากการสำรวจและจัดอันดับ 100 มหาวิทยาลัยสุดยอดแห่งเอเชียประจำปี 2013-2014 ของนิตยสาร Time Higher Education ของประเทศอังกฤษ พบว่า อันดับที่ 1 มหาวิทยาลัยโตเกียว อันดับที่ 2 มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ อันดับที่ 3 มหาวิทยาลัยฮ่องกง อันดับที่ 4 มหาวิทยาลัยเกาหลีใต้ อันดับที่ 5 มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และยังพบว่าประเทศญี่ปุ่นมี 20 มหาวิทยาลัยอยู่ใน 100 มหาวิทยาลัยรองลงมา ประเทศจีน 18 มหาวิทยาลัย เกาหลีใต้ 14 มหาวิทยาลัย ประเทศจีน ไต้หวัน 10 มหาวิทยาลัยฮ่องกง 6 มหาวิทยาลัย สิงคโปร์ 2 มหาวิทยาลัยและประเทศไทย 2 มหาวิทยาลัย ลำดับที่ 50 และ 82 ของเอเชีย

จะเห็นได้ว่า มหาวิทยาลัยลำดับคุณภาพต้นๆ ในเอเชียใกล้บ้านเรามีมากมายทีเดียว แต่ทำไมคนไทย เด็กไทยไม่นิยมไปศึกษาต่อเหมือนกับไปศึกษาในอเมริกา อังกฤษหรือออสเตรเลีย รวมทั้งนักการศึกษาไทยก็ไม่ค่อยนำผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของประเทศดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาเยาวชนไทยเท่าที่ควร แต่ปี 2014 ยังโชคดีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ติดลำดับที่ 50 และมหาวิทยาลัยมหิดล ติดลำดับที่ 82 ของเอเชีย ยังพอรักษาหน้าตาของประเทศไทยไว้บ้างไม่มากก็น้อย



อยากฝากเป็นข้อคิดว่า ประเทศไทยลองส่งนักบริหารการศึกษาหรือนักเรียนไทยไปศึกษาดูว่า ประเทศดังกล่าวเขาจัดการศึกษาอย่างไร จึงมีคุณภาพดังที่ปรากฏแก่ชาวเอเชียและชาวโลก แต่ระยะหลังมีนักการศึกษา ครู-อาจารย์ต่างๆ เดินทางไปในประเทศดังกล่าวมากขึ้น แต่ไม่ทราบว่าไปศึกษาดูงานหรือไปทำกิจกรรมใด

แนวทางเริ่มต้นสู่การใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมคือ การสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยในห้องเรียน กระตุ้นให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาหรือสิ่งที่ชุมชนต้องการให้พวกเขาไปช่วยเหลือ หรือสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเพื่อนมนุษย์ในชุมชนให้ดีขึ้น จากนั้นให้อิสระแก่ผู้เรียนเพื่อให้พวกเขาแสดงความรับผิดชอบในการจัดการทุกขั้นตอนในการเลือกหรือออกแบบกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาในการดำเนินการ การจัดเตรียมอุปกรณ์ การลงมือปฏิบัติ การประเมินการให้บริการและการสะท้อนความคิดหลังการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึงที่จะทำให้การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ กิจกรรมที่นักเรียนเลือกปฏิบัติควรเอื้อต่อการนำความรู้ที่เรียนมาใช้ประโยชน์

ตัวอย่างเช่น นักเรียนอาจจะเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในการปลูกต้นไม้ในโรงเรียน ซึ่งนักเรียนจะต้องแสดงให้เห็นถึงวิธีการนำความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาใช้ เช่น การทำกราฟหรือแผนภูมิแสดงปริมาณต้นไม้ ประเภทต้นไม้หรือการบำรุงรักษาระบบนิเวศวิทยาในโรงเรียน เป็นต้น

ดังที่กล่าวมานี้ การเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อสังคมจึงน่าจะเป็นก้าวต่อไปของการพัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นหนทางตรงที่ทำให้ผู้เรียนของเราพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ และพร้อมที่จะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกได้อย่างสง่างาม โดยเฉพาะพร้อมที่จะแข่งขันกันกับกลุ่มประเทศในเอเชียต่อไป

การเสริมทักษะการเรียนรู้ด้วยการค้นคว้าด้วยตนเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการให้ผู้เรียนมีทักษะในด้านนี้ทั้ง 3 ทักษะ ซึ่งสามารถจัดเชิงบูรณาการในสาระทุกสาระ ผู้สอนจึงสามารถนำมาใช้ได้ทุกเวลา ทุกคาบก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ทำอยู่แล้วแต่ทำโดยไม่ใช้หลักการ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนจึงไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนเท่าที่ควร

และที่สำคัญยิ่ง คือ ผู้เรียนจะไม่สนใจและไม่รับรู้ความเป็นไปในสังคมและเราจึงไม่เห็นคนไทยหรือเยาวชนไทยออกมาปกป้อง รักษาความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในทางสังคมไม่ว่าทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการศึกษา และทางการเมืองเลย ถึงเวลาแล้วยังที่เราควรผลักดันเรื่องนี้ กระทรวงศึกษาธิการลองช่วยหาคำตอบ

 

.........

 

(ที่มา:มติชนรายวัน 27 สิงหาคม 2557 )



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.