แม้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 พร้อมคณะรัฐมนตรี คณะที่ 60 จะพ้นจากวงจรอำนาจไปเกือบเดือน แต่เธอและพวกยังไม่หมดเคราะห์กรรม เพราะยังติดบ่วงทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ทั้งที่อดีตนายกฯหญิงถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด พร้อมส่งเรื่องถอดถอนไปยังวุฒิสภา ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พ.ค.ไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่วายเข้าไปพัวพันกับคดีอาญาที่ "ยิ่งลักษณ์" ยังต้องลุ้นว่าจะโดนส่งฟ้องไปยังอัยการสูงสุด และต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
"วิชา มหาคุณ" กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขยายความถึงชะตากรรมของ "ยิ่งลักษณ์" ที่อยู่ในอุ้งมือของ ป.ป.ช.ว่า
"เป็น คดีที่มีผู้ร้องกล่าวหาความผิดเกี่ยวกับทางอาญามาด้วย คือ เรื่องการละเว้นไม่ดำเนินการหยุดยั้งที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งมีความผิดทางอาญามาตรา 157 ด้วย เพราะเข้าข่ายปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือโดยมิชอบ ในส่วนนี้จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ"
"วิชา" แยกแยะความแตกต่างคดีที่ "ยิ่งลักษณ์" ถูกถอดถอน กับถูกส่งฟ้องอัยการสูงสุดและศาลว่า ความแตกต่างระหว่างคดีถอดถอนกับคดีทางอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องของพยานหลักฐานในการชี้มูลแตกต่างกัน แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของการพิจารณาพยานหลักฐาน เพราะในความผิดเรื่องการถอดถอนเป็นเรื่องของผิดจริยธรรม หรือส่อว่าจะมีความผิด
"แต่เรื่องของกระบวนการกระทำผิดทางอาญามันไม่ ใช่เรื่องของการส่อ แต่ต้องเป็นเรื่องของเจตนากระทำผิดทางอาญา จงใจ ที่เรียกว่าประสงค์เห็นผลหรือเล็งเห็นผลแห่งการกระทำนั้นเลยว่าจะเกิดความ เสียหายเกิดขึ้น และปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจน"
"นอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ยังมี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐถูกร้องการทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ขยายการไต่สวนพวกกลุ่มบุคคล รวมถึงบริษัทเอกชนที่ถูกร้องว่าร่วมทุจริตด้วย" นายวิชากล่าว
อย่าง ไรก็ตาม ในระหว่างที่การตรวจสอบทุจริตโครงการรับจำนำข้าวยังอยู่ในชั้นสอบสวนของ ป.ป.ช. "วิชา" ได้เสนอให้มีการแก้กฎหมาย ป.ป.ช.ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ควรจำกัดอยู่กับเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต เนื่อง จากบริษัทที่เข้าดำเนินการร่วมกับรัฐอาจเป็นผู้ร่วมทำการทุจริต จึงควรมีการตรวจสอบอย่างชัดเจน โดยอาจยื่นตรวจสอบว่าบริษัทมีการป้องกัน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ หรือระมัดระวังการร่วมทุจริตกับภาครัฐหรือไม่ ภาคเอกชนควรมีส่วนในการรับผิดชอบมากขึ้น
ทั้งนี้ เหตุที่ ป.ป.ช.อยาก "ติดดาบ" ขึ้นมาในจังหวะนี้ เป็นเพราะการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมนักการเมืองจะผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ (สนช.) ได้ง่ายกว่า ในภาวะปกติที่มีสภาผู้แทนราษฎรมาจาก ส.ส.ที่อาจมีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น หาก คสช.เร่งคลอด สนช.โดยเร็ว อาจเห็น ป.ป.ช.ส่งร่างกฎหมายติดดาบดังกล่าวไปให้ สนช.พิจารณาเพื่อนำมาใช้ตรวจสอบบริษัทเอกชนที่ร่วมทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ก็เป็นได้
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงหนุนจากฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยอย่าง "น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาสนับสนุนการเพิ่มดาบของ ป.ป.ช.ว่า ตัวอย่างการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ชัดเจนที่สุด และมีผลเสียหายย่อยยับมาแล้ว คือ โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ที่มีตัวหลัก 3 องค์ประกอบที่ว่า คือ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายเอกชน ที่การทุจริตเกิดขึ้นได้จนเสียหายมหาศาลหลายแสนล้าน ก็เพราะมีภาคเอกชนเข้ามารับดำเนินการ หรือเป็นตัววิ่งชนงานเพื่อรับดำเนินการแทน
ถือว่าภาคเอกชนเป็นตัวหลักในการทุจริตจนเกิดความเสียหายมหาศาลขนาดนี้ คือ บรรดาเจ้าของโรงสี โกดังเก็บข้าวเอกชนที่ร่วมโครงการ ทั้งที่ปล่อยให้เกิดการสวมสิทธิ์ ลักลอบนำข้าวออกไปเวียนเทียน หรือข้าวหาย โดยมีข้าราชการบางส่วนหลิ่วตา จึงถือเป็นข้อเสนอที่ดีและควรเร่งนำมาสู่ภาคปฏิบัติให้เร็วที่สุด
เพราะ คิดว่าการแก้ไขกฎหมายนี้คงไม่ยุ่งยาก ถือเป็นการอุดรูรั่วหรือปิดช่องทางของปัญหาที่มองเห็นว่าเกิดขึ้น เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมีประสิทธิภาพและครอบ คลุมมากที่สุด ในการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
แม้จะพ้นจากอำนาจ แต่การตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวยังไม่จบ องคาพยพยิ่งลักษณ์ยังต้องลุ้นยาวถึงฎีกา