“ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” หนังม้ามืดทวนกระแส ดังจากบ้านนอกเข้ากรุง
 


“ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” หนังม้ามืดทวนกระแส ดังจากบ้านนอกเข้ากรุง


“ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” หนังม้ามืดทวนกระแส ดังจากบ้านนอกเข้ากรุง

ในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์หลายเรื่องได้รับผลตอบรับไม่ดี หรือกระทั่งระดับฟอร์มยักษ์อย่าง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 5” ก็ทำรายได้ไม่สวยนัก แต่กลับมีภาพยนตร์นอกกระแสเรื่องหนึ่งที่กำลังกลายเป็นกระแสขึ้นมา นั่นก็คือ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” ภาพยนตร์ของกลุ่มคนทำหนังมือสมัครเล่นชาวอีสานที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า “อีสานอินดี้ (E-SAN INDY)” กำกับการแสดงโดย อุเทน ศรีริวิ และ จิณณพัต ลดารัตน์ นำแสดงโดย อาร์ตี้-ธนฉัตร ตุลยฉัตร และ ชุติมา วันดึก


ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้เข้าฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ในภาคอีสานเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา และกำลังสร้างปรากฏการณ์ด้วยการทำรายได้ 8.9แสนบาทในวันแรกที่เข้าฉาย นับถึงวันนี้ (12 มิถุนายน) ทำรายได้ไปแล้วถึง 80 ล้านบาท มีคนดูเต็มทุกรอบจนต้องเพิ่มรอบ และถูกเรียกร้องจากคนอีสานในต่างถิ่นจนกระทั่งโรงหนังในกรุงเทพเปิดประตูต้อนรับให้เข้าฉายในวันที่19 มิถุนายนนี้



คลิปตัวอย่างหนัง



อุเทน ศรีริวิ ผู้กำกับของเรื่องบอกว่าจากที่เริ่มต้นความคิดอยากทำหนังเขา
เอาโปรเจ็คต์ไปเสนอค่าย รอนานถึงสองปีไม่มีใครสนใจจึงเอาที่นาไปขาย เอารถไปเข้าไฟแนนซ์ จำนำโทรศัพท์ เพื่อเอาทุนมาทำหนังเรื่องนี้ที่ทุ่มเทขนาดนั้นเพราะเขาคิดว่า “ถ้าไม่ทำเรื่อแรกก็ไม่มีเรื่องที่สอง ในเมื่อไม่มีใครสนใจก็ทำกันเองดีกว่า”

“ผู้บ่าวไทบ้าน”เป็นคำในภาษาอีสานที่แปลว่า หนุ่มวัยรุ่นชาวอีสานที่ยังอาศัยอยู่ในท้องถิ่น ยังใช้ชีวิตและมีวิถีชีวิตแบบอีสานไม่ใช่หนุ่มอีสานที่เข้าไปอยู่ในเมืองหรือทำตัวเป็นคนเมือง


หนังเรื่องนี้เป็นหนังคอมเมดี้สนุกสนานสไตล์อีสานพูดภาษาอีสานทั้งเรื่อง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้บ่าวไทบ้านที่รอการกลับมาของแฟนสาวที่ไปทำงานต่างประเทศแต่แฟนสาวกลับพาหนุ่มฝรั่งกลับบ้านมาด้วยเรื่องวุ่นวายมากมายจึงตามมา


อุเทนเล่าว่า หนังเรื่องนี้ใช้งบ 5ล้านบาท เป็นทุนของตัวเองส่วนหนึ่ง หาสปอนเซอร์ส่วนหนึ่ง และมีนายทุนซึ่งเป็นพี่ที่รู้จักกันเข้ามาช่วยในตอนหลังเพื่อผลักดันให้การทำหนังเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงมาได้


“ตอนแรกวางแผนจะฉายเฉพาะในภาคอีสาน
เข้าไปคุยกับโรงหนังเองทางโรงหนังสนใจจึงได้เข้าไปฉายทุกจังหวัดในภาคอีสานยกเว้น จ.นครพนมที่โรงเต็ม การคุยกับโรงหนังในอีสานไม่ยากคุยแล้วเขาสนใจเลย แต่ที่กรุงเทพเขายังไม่ยอมรับ แต่พอกระแสในอีสานดีเขาก็รับแล้ว จะได้ฉายในSF และ Major เครือละ 10 โรง”



“ฟีดแบ็คจากคนดูดีทุกอย่าง มีคนบอกว่ารอติดตามภาค2 ให้กำลังใจทีมงาน ยังไม่มีคอมเมนต์ว่าแย่เลย มีแต่จะไปบอกต่อ และมีหลาย ๆ คนที่ดูแล้วดูอีกหลายรอบตอนนี้คนดูเต็มทุกโรง ยังไม่มีคอมเมนต์จากมืออาชีพในวงการหนัง เขาอาจจะยังไม่ได้ดูถ้าหนังยังไม่ฉายเขามองว่าเจ๊งหมด โดยเฉพาะหนังที่อาร์ตี้ ธนฉัตรแสดงเจ๊งทั้ง 3เรื่อง เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งใน 3 ที่ถูกมองว่าจะเจ๊ง ส่วนนักวิจารณ์ยังไม่ได้ดูหนังก็เลยยังวิจารณ์ไม่ได้ แต่ว่าหนังเราไม่ได้ทำให้นักวิจารณ์ดู เราเน้นกลุ่มคนทั่วไปชาวบ้านแบบชื่อเรื่องเรา เน้นความสนุก หนังไม่ได้ดีเด่นอะไรแบบหนังรางวัล”  


ผู้กำกับมือใหม่บอกว่า ทีมงานหนังเรื่องนี้ทุกคนเป็นมือใหม่ไม่มีประสบการณ์มาเลยแม้ว่าตัวเขาจะเรียนจบด้านภาพยนตร์มาจากมหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรีแต่หลังจากเรียนจบก็ไม่เคยคลุกคลีกับวงการหนังเลยทีมงานส่วนใหญ่ที่มาช่วยงานเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามส่วนนักแสดงคัดมาจากพรรคพวกที่รู้จักกันนักแสดงทุกคนเป็นคนอีสานจริงพูดอีสานได้ไม่ได้อิงนักแสดงมีชื่อเสียงไม่ได้แคสติ้งอะไรซีเรียสมาก ไม่ได้ประกาศในวงกว้างแคสจากคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว


“ถ้าประเมินตัวเอง หนังเรื่องนี้มีข้อบกพร่องเยอะมากเช่น สิ่งที่อยากเล่าโดนจำกัดด้วยงบประมาณ บางทีก็ต้องปรับ บางซีนที่อยากถ่ายก็ไม่สามารถถ่ายได้เราทำตามใจเรา และตามมีตามเกิด”



อุเทนบอกอีกว่าความสำเร็จของหนังเรื่องนี้เหมือนฟลุกแต่ไม่ได้ฟลุก เพราะทีมงานวางแผนกันมาพอสมควรเช่น เรื่องการตลาดที่ต้องเดินเอง โดยเน้นทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก ยูทูบ เป็นหลักนอกจากนั้นก็มีการขายเสื้อ และการลงพื้นที่เอง ในหลาย ๆ พื้นที่ ตัวหนังเองถึงแม้จะมีข้อบกพร่องแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นหนังขี้ริ้วขี้เหร่


ในฐานะที่ทำหนังแล้วประสบความสำเร็จอุเทนฝากถึงคนอื่น ๆ ที่อยากทำหนังว่า “อยากทำก็ทำ แต่ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใครและต้องตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้ได้ ให้คิดว่าทำแล้วคนกลุ่มนั้นเขาจะดูได้หนังทุกวันนี้ถ้าทำในวงกว้างมีสิทธิ์เจ๊งได้” 




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.