"ม.ล.ปนัดดา" ปักหมุดปรองดอง ภารกิจจัดแถวข้าราชการ สลายขั้วการเมือง
 


"ม.ล.ปนัดดา" ปักหมุดปรองดอง ภารกิจจัดแถวข้าราชการ สลายขั้วการเมือง



เพียง 6 วัน หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็จดปากกาลงนามคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 27 ให้ "ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มาปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งแทน "ธงทอง จันทรางศุ" ที่ถูกให้ปฏิบัติราชการในสำนักนายกฯ

พลันที่ ม.ล.ปนัดดาย้ายมานั่งในรั้วทำเนียบรัฐบาล เขาเดินหน้าปฏิรูประบบราชการควบคู่กับการปฏิรูปตามโรดแมปของ คสช.ทันที

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเขาในห้องทำงานบนตึกสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ (สปน.) เขาได้วิเคราะห์ว่าปัจจัยที่ทำให้สังคมแตกแยกร้าวลึกขนาดนี้ ปัญหาหลักมาจากข้าราชการไม่อยู่ในร่องในรอย

- คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรที่ คสช.แต่งตั้งให้เป็นปลัดสำนักนายกฯ


คุณสมบัติ ไม่แน่ใจจริง ๆ โดยข้อเท็จจริงก็รู้จักอาจารย์ธงทอง (จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกฯ) ก็รู้จักกับครอบครัวท่าน มีความเคารพนับถือท่าน ไม่เคยคิดว่าจะมาทำงานตรงนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นความไว้วางใจของ คสช.ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ถามว่าคุณสมบัติ..(นิ่งคิด) คิดว่าไม่มั่นใจว่าจะพูด น่าจะช่วยสะท้อนมากกว่า

- ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจาก คสช.

คสช.ย้ำ ในฐานะที่เราเป็น สปน.จะต้องสื่อประสานงานไปยังส่วนราชการต่าง ๆ ทุก ๆ กระทรวงว่าต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ แตกแถว กลายเป็นความขัดแย้ง เป็นฝ่ายนู้น ฝ่ายนี้ หัวหน้า คสช.ท่านได้กล่าวว่า เราไม่มีเวลาขัดแย้งกันอีกต่อไปแล้ว ทะเลาะกันอีกไม่ได้แล้ว

ประชาธิปไตย ที่พึงจะเกิดในทุกชาติ ทุกประเทศ คือประชาธิปไตยที่นำความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญรุ่งเรืองทั้งความคิดและการกระทำ ดังนั้น ข้าราชการจะต้องเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติตนให้สังคมเกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่ใช่กลายเป็นข้าราชการที่สังคมบอกว่าเอาตัวรอด และไปยึดติดกับการเป็นฝ่ายนู้นที ฝ่ายนั้นที เช่นที่เมืองไทยในช่วงหลายปีนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรที่สุดโต่งมากมาย เพียงแต่มีความซื่อสัตย์สุจริต ขยันทำงาน เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของสังคม ชาติบ้านเมือง ของโลก แล้วพยายามนำมาบรรจบประสานให้กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนได้สุขกายสบายใจ ไม่ใช่ทำแล้วกลับกลายเป็นความทุกข์ยาก กลายเป็นความแตกแยก จะต้องพยายามปรับแนวคิดประการนี้ให้เกิดขึ้นทุกภาคส่วน

- ปัจจุบันข้าราชการแตกแถวพอสมควร

ก็ตามที่ทราบ เป็นเรื่องอุดมคติทางการเมือง ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในทิศทางนั้น

- ภารกิจหลักคือทำให้ข้าราชการที่ไม่อยู่ในร่องในรอยให้กลับมาอยู่ในแถว

เรื่อง นี้คงไม่ใช่เสียทีเดียว แต่อยากใช้คำว่าเราโต ๆ กันแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยเพิ่งบรรจุใหม่ ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ บรรจุเข้ามาสนองพระเดชพระคุณ ก็ต้องคิดกันให้ถูก การจะคิดให้ถูกได้ ก็ต้องมีหัวหน้าหน่วยของแต่ละองค์กรช่วยให้ความรู้ความเข้าใจ เพราะผู้บังคับบัญชาคือหัวแถว คำพูดของคนไทยที่สอนกันมา คือหัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก เป็นอะไรที่ชัดเจนมาก ถ้าหัวดำรงความถูกต้อง โปร่งใส สุจริต ยุติธรรม เป็นแบบอย่างให้ลูกแถว ลูกทีม จะไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ได้พูดที่ผ่านมาว่าหัวส่าย แต่จะพยายามพูดให้เห็นว่าทุกฝ่ายควรช่วยกันรักษาอุดมคตินี้

- การปลูกฝังแนวคิดข้าราชการเถรตรงไม่อิงการเมือง จะไปล้มทัศนคติที่ข้าราชการต้องเข้าหานักการเมืองถึงจะเติบโตได้อย่างไร

(สวน ทันที) ถ้าแนวคิดนี้เปลี่ยนไม่ได้ ก็น่าห่วงใยประเทศไทย เพราะในต่างประเทศเขาไม่คิดเช่นนั้น คำสอนนี้ไม่เคยปรากฏในประเทศไหน เพราะแนวความคิดของคนที่ยึดมั่นอยู่บนความถูกต้อง คือข้าราชการต้องทำงานตราบจนเกษียณอายุ ส่วนการเมืองก็เปลี่ยนไปตามวาระ ไม่มีคำพูดว่าข้าราชการของพรรคการเมืองนี้ มีแต่คำพูดว่าข้าราชการของประชาชน ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

- จริงหรือไม่ที่ข้าราชการอยู่ใกล้นักการเมืองก็ร้อน แต่ถ้าอยู่ห่างมากก็หนาว

กลาย เป็นสิ่งที่เราตามใจตัวเองมามาก อยากเห็นนักการเมืองทำงานร่วมกับข้าราชการในบริบทอ่อนน้อมถ่อมตน เกรงใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เกรงใจเพื่อใคร แต่เป็นความเกรงใจที่มีต่อประเทศชาติ ไม่ใช่การเข้าสู่อำนาจแล้วเป็นเรื่องของการฉกฉวยผลประโยชน์ แล้วประชาชนก็จะเบื่อต่อระบอบประชาธิปไตย

- ข้าราชการมืออาชีพทำงานได้ทุกฝ่ายกับการเข้าหานักการเมือง เป็นเสมือนเส้นแบ่งบาง ๆ ที่แยกไม่ออกหรือไม่

เป๊ะ เลย ไม่รู้ใครมืออาชีพ หรือใครที่ประจบประแจงมากมาย เรียกว่าสุดโต่ง มืออาชีพไม่จำเป็นต้องสุดโต่ง มืออาชีพรักษาความรู้ความสามารถตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือ สั่งสมประสบการณ์ กว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารอาวุโสได้ ก็ยึดมั่นตามจริยธรรม ตามหลักบริหารธรรมาภิบาล ข้าราชการก็ต้องดูตัวเองซิว่าอยู่ในกลุ่มไหนมากกว่ากัน

- จะเริ่มแก้ปัญหาข้าราชการฝักใฝ่นักการเมืองจากตรงไหน


เรา ต้องมีความหวังที่ดี ข้าราชการที่ไม่แก่มาก แต่ยังแก้ไม่ได้ เพื่อร่วมงาน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่สูงกว่านั้นขึ้นไป ก็ต้องช่วยกันดูแล ตรวจสอบการทำงาน เช่น ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานสำคัญที่จะช่วยให้ข้าราชการระวัง ไม่ทำอะไรผลีผลาม

- แล้วภารกิจปรองดองจะเดินอย่างไร

เป็นภารกิจที่ สปน.ควรจะต้องดูทั้งทางตรงทางข้าง แต่หน่วยงานหลักในทางปฏิบัติจริง ๆ ได้แก่กระทรวงมหาดไทย คือจังหวัด แต่ละจังหวัดมีศูนย์ปรองดองระดับอำเภอแล้ว มีกิจกรรมเยอะแยะ ไม่ได้มีแต่ร้องรำทำเพลง มีทั้งเปิดใจคุยกันบนโต๊ะกินข้าว โต๊ะกาแฟ เล่นกีฬา กิจกรรมตามวัดวาอาราม ทำกิจกรรมพร้อมกันหมดทั้งเกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า พยายามดึงคนทุกกลุ่มมาพูดคุยกันครั้งแรก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพิ่งเห็นว่าทั้งจังหวัดและอำเภอทำงานเข้มแข็งมากในเรื่องการแก้ไขให้เกิด ความรักความสามัคคีให้มีขึ้นอีกครั้ง หากผู้ว่าฯ นายอำเภอมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ โอ้โห..เราได้กำลังใจแล้วเกินครึ่ง

-เคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาก่อน ความขัดแย้งแต่ละพื้นที่รุนแรงมากแค่ไหน

ตอน ผมเป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ หลายคนวิตกแทน เพราะย้ายจากจังหวัดนครปฐม แล้วช่วงที่ไปอยู่เชียงใหม่ ปัญหาทางการเมืองเข้มข้น แต่ไปด้วยความจริงใจบริสุทธิ์ใจตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง คิดอยู่เสมอว่าเป็นข้าราชการของทุกฝ่าย ไม่เคยคิดว่าตนเป็นข้าราชการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มองกันยังไงก็คือคนไทยทั้งนั้น

เคยมีข้าราชการมาให้ข้อมูลในงาน เลี้ยงคนที่จะนั่งตรงนั้นตรงนี้มีสีทางการเมืองอย่างไร ผมรีบบอก โห..ท่านไม่ต้องลำบากเตรียมรายละเอียดให้ขนาดนี้ เพราะเชื่อว่าภายหลังได้คุยกัน ก็จะเกิดความเข้าใจกันได้โดยธรรมชาติ เราเป็นข้าราชการ ต้องเป็นมิตรกับทุกฝ่าย ไม่มีสีทางการเมือง ใครจะมีสีอื่นในใจ ก็เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เราเป็นข้าราชการ จะแสดงออกไม่ได้ แต่จะรับข้อคิดเห็นต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับกระบวนทัศน์ให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อบ้านเมือง

- ก่อนเป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ มีกลุ่มเสื้อแดงต่อต้านรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมาก แต่พอไปเป็นผู้ว่าฯ มีสูตรอะไรที่ทำให้ความขัดแย้งเบาบางลง

ประชาชนชาวเชียงใหม่มักจะ กล่าวถึงผมด้วยความห่วงใย ผมมีเชียงใหม่โมเดล เรื่องการศึกษา เพราะการศึกษากับการปกครองต้องไปด้วยกัน ไปพูดหน้าเสาธงชาติ มีเงินเดือนอะไรบ้าง ก็ตัดออกไปเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้นักเรียนที่มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เดือนหนึ่งหลายสิบทุน ไปตรวจเยี่ยมอำเภอครบ 25 อำเภอในเวลาอันสั้น มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา ให้สุภาพชนเข้าหา ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด

แต่แน่ล่ะ มีปัญหาบ้าง แต่พยายามแก้ไขปัญหาไปทีละขั้น ด้วยเหตุและผล ไม่เคยใช้อารมณ์ไปฉุนเฉียวว่ากล่าวใคร ไม่ทะเลาะกับใคร มันไม่ใช่แนวทางของผม และพูดกับพี่น้องชาวเชียงใหม่เสมอว่าเราเป็นประเทศไทยด้วยกัน ไม่มีแยกกันออกไปเป็นล้านนา อีสาน เราเป็นประเทศไทยเดียวกัน เป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมีเดียวกัน เราต้องรักกัน กล่าวโดยสรุป เราจริงใจซะอย่าง เรามุ่งมั่นรักษาความซื่อตรงให้เกิดขึ้นในทิศทางการทำงานของเราเสียอย่าง ไม่มีอะไรไม่สำเร็จ

- เป้าหมายของ คสช.คือสลายความขัดแย้งตั้งแต่ระดับครอบครัว

ใน ครอบครัวเป็นเรื่องน่าเห็นใจมาก ทราบมาว่าบางบ้านเปิดทีวีช่องหนึ่ง ในห้องเปิดอีกช่องหนึ่ง ดังนั้น ช่วงนี้ยุติการสู้รบกัน ก็เป็นหนทางหนึ่ง ทำให้เราหันกลับมาพูดจากัน เพราะการที่ชมอะไรมาก ๆ มันเครียด ก็ควรมีรายการทั้งหลายผ่านสื่อ ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องปู่ ย่า ตา ยายของคนไทยทุกคน ผู้เสียสละรักษาบ้านรักษาเมืองให้กับเรา เราต้องช่วยกันดำรงความภาคภูมิใจนี้ให้จงได้

ส่วนราชการต้องเป็นหลัก ให้สังคม อย่าไปทำอะไรให้คนเขาผิดหวังเป็นอันขาด ที่ผ่านมา ข้าราชการถูกตำหนิติเตียนเยอะ คล้าย ๆ ทำตัวลอยเหนือปัญหา และปล่อยให้ประชาชนขัดแย้งซึ่งกันและกัน ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่นี่กลับลอยตัว ไม่ใช่ทุกท่านนะ แต่หลายคน ก็ไม่สมควรให้เกิดขึ้นอีก

- สรุปได้หรือไม่ ถ้าข้าราชการอยู่ในร่องในรอย จะทำให้ความขัดแย้งลดลง

ถ้า อยู่ในร่องในรอย มุ่งมั่นให้ประเทศมีความร่มเย็นเป็นสุข มีหรือว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แต่ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ เพราะมันเป็นอะไรที่ออกนอกร่องนอกรอย แล้วทำอะไรตามอำเภอใจหลาย ๆ คน ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นเลย


- วันนี้นักการเมืองยังไม่สามารถกระดิกตัวได้ เพราะถูก คสช.ห้ามไว้ แต่ถ้าถูกปลดล็อก คิดว่าความขัดแย้งกลับมาหรือไม่

ได้ แต่หวังว่าบทเรียนจากทุก ๆ ครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ เราต้องยอมรับ เรามีระบบรัฐสภาต่อเนื่องมาหลายปี กระทั่งเกิดเหตุการณ์วันที่ 22 พ.ค. ศึกษาครั้งนี้ให้ดี ถ้าไม่ช่วยกันประคับประคอง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ไม่อาชีพ หรือข้าราชการประจำ ถ้าไม่ประคับประคองหลังจากมีการเลือกตั้ง ก็ขอใช้คำว่า

รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา บ้านเมืองนี้เป็นของเรา ประชาธิปไตยนี้เป็นของเรา แต่ไม่รู้จักรักษา กลับท้าทาย กลับขัดแย้ง กลับทุจริต ซึ่งมองกลับไปเป็นภาพรวมแบบสุดโต่ง จริง ๆ ใครต่อใครชมทั้งนั้นว่าเมืองไทยของเราอยู่ด้วยอัธยาศัยไมตรี อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยนะในอดีตที่เราจะไปเห่อเหิมประกาศออกโรงโฉ่งฉ่างใหญ่โตร่ำรวย อาเซียนหรือภายนอกเขาถึงเกรงใจเมืองไทย




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.