คนไทยทั่วทั้งประเทศยอมรับใน “พุ่มพวง ดวงจันทร์”อดีตราชินีลูกทุ่ง ที่มีน้ำเสียงออดอ้อน หวาน จำเนื้อเพลงได้อย่างแม่นยำทั้ง ๆ ที่ไม่รู้หนังสือ “พุ่มพวง” ถือเป็นศิลปิน-นักร้องที่เป็นอมตะนิจนิรันดร์ ผลงานเพลงของเธอไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าเพลงเร็ว หรือแทบทุกเพลง ที่ปัจจุบันนี้ยังคงมีศิลปิน-นักร้อง หรือแม้แต่ดารา-นักแสดงได้นำมาขับร้องในงานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งครูเพลงบางท่าน ยังคงบอกเสมอว่า ’เพลงพุ่มพวง เป็นเสมือนเพลงต้องมนต์ที่คนอื่นนำมาร้องใหม่ บันทึกเสียงใหม่ มักจะไม่ประสบความสำเร็จ?“
ที่เกริ่นมาข้างต้น ก็สืบเนื่องจากใกล้จะถึงวันครบรอบการจากไปของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” (13 มิ.ย.) ’วาไรตี้เถิดเทิง“ ขอถือโอกาสย้อนรำลึกเรื่องราวในอดีตบางเสี้ยวบางส่วน ของราชินีลูกทุ่งท่านนี้ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน เมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา “พุ่มพวง” เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นหางเครื่อง และนักร้องในวงดนตรีของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ จนมีโอกาสได้อัดแผ่นเสียงชุดแรก ดังพอทำให้คนรู้จักจากเพลง “แก้วรอพี่, นักร้องบ้านนอก” หลังจากนั้น “พุ่มพวง” ก็ออกมาตั้งวงดนตรีของตัวเองแต่ก็ไม่ค่อยดี จนกระทั่งมาดังสุด ๆ จากเพลง “สาวนาสั่งแฟน” จากนั้นได้มีโอกาสร้องสด ๆ หน้าพระที่นั่ง “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”ในเพลง “ส้มตำ” ที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ร้อง ทำให้ “พุ่มพวง”มีชื่อเสียงโด่งดัง และเริ่มเปลี่ยนแนวเพลง มาเป็นเพลงมันสนุกสนานมากขึ้น เช่น “คนดังลืมหลังควาย...เขยิบ ๆๆ เข้ามาสิ”
ประกอบกับอดีตสามี “ไกรสร แสงอนันต์” ที่เป็นพระเอกภาพยนตร์ เข้ามาดูแลและพัฒนาการแต่งตัวเสื้อผ้าดี ๆ ใส่กางเกงแบบมีรูขาด เป็นรูปแบบใหม่ในสมัยนั้นไปจนถึงชุดลายเสือที่ดังมาจนถึงปัจจุบัน จัดให้ตัดผมสั้นและปรับแต่งหน้าตา เสริมกระทั่งฟันกระต่ายคู่หน้า เรียกว่าเอกลักษณ์ “พุ่มพวง” ทั้งหมดที่มีแนวการแต่งตัวสวยงามนั้นเป็นฝีมือของ “ไกรสร” ทั้งสิ้น ซึ่งทั้งคู่ได้มีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ “น้องเพชร”
จากการที่ “พุ่มพวง” มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้มีงานแสดงเข้ามาแบบล้นทะลัก เธอต้องทำงานหนักและพักผ่อนน้อย เป็นแบบนี้นานทีเดียว จึงเป็นที่มาของความเจ็บป่วย(ช่วงนั้นออกงานเพลง “ตั๊กแตนผูกโบว์”) พุ่มพวงเข้า-ออกโรงพยาบาลศิริราชอยู่นานเป็นปี ทำให้ไม่มีเงิน เพราะรายได้ที่เคยมีก็นำมารักษาตัวจนหมด ยิ่งช่วงหลังนอนรักษาตัวอยู่ที่รพ.หลายเดือน คนที่เคยมาเยี่ยมก็ค่อย ๆ หายหน้าไป ท้ายที่สุด “พุ่มพวง” ไม่มีเงินค่ารักษา 2 ล้านกว่าบาท แต่ด้วยความดีที่เธอสร้างสมไว้ จู่ ๆ ก็มีเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย เขาคือ “เฮียทวีชัย จริยะเอี่ยมอุดม” นายห้างค่ายท็อปไลน์ฯ ซึ่งในสมัยนั้นเฮียก็ไม่ได้มีเงินมากมาย ต้องไปกู้เงินคนอื่นมาช่วยพุ่มพวง ก่อนที่ พุ่มพวง จะออกจากโรงพยาบาลและเสียชีวิตในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2535 ในขณะที่มีอายุ 30 ปี
แม้วันนี้ไม่มีศิลปิน-นักร้องที่ชื่อ “พุ่มพวง” อยู่ในโลกใบนี้ แต่เราก็เชื่อว่าจิตและวิญญาณของเธอ ยังอยู่ในหัวใจทุกคนอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย และที่ทุกคนยังทึ่งไม่หาย เมื่อนึกถึงพุ่มพวงก็คือ “พุ่มพวง” เป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก ต้องอาศัยครูเพลงผู้แต่งผู้คุมร้องให้ฟังหรืออ่านให้ฟัง แต่เพียงไม่กี่รอบ พุ่มพวงก็จำเนื้อได้ นับเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาจริง ๆ จากคำบอกเล่าของบรรดาครูเพลงบอกว่า การบันทึกเสียงร้องของพุ่มพวงแต่ละเพลงนั้น ง่ายดายมาก ใช้เวลาไม่นานก็ได้เพลงคุณภาพสูงแล้ว เพราะตัวนักร้องจำเนื้อร้อง, ความหมายของเพลงและสร้างลีลาการร้องลูกคอการใช้เสียงด้วยตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือเป็นพรสวรรค์อันวิจิตรพิสดารเฉพาะตัว แม้เพลงบางเพลงจะมีคนเคยร้องไว้ก่อน แต่เมื่อพุ่มพวงนำมาร้อง ทุกคนก็จะจดจำเพลงและทำนองแนวการร้องแบบพุ่มพวงได้มากกว่าต้นฉบับ
แต่จากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน มีคนนำเพลงพุ่มพวงมาบันทึกเสียงใหม่ ขับร้องใหม่หลายต่อหลายคน แต่กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จนมีเสียงลือว่า ’พุ่มพวง หวงเพลงของท่าน..จริงหรือ??“ ด้วยความอยากรู้ จึงไปถามครูเพลงรุ่นปรมาจารย์ที่คุ้นเคยในยุคนั้น ท่านบอกว่า ส่วนตัวพุ่มพวงนั้นเป็นคนมีจิตใจดี มีพรสวรรค์ด้านการร้องการใช้เสียงได้ทุกแบบ เข้าใจในความไพเราะของการร้อง รู้ว่าร้องอย่างไรคนจะชอบ เคยมีบ้างในยุคแรก ๆ ที่ “พุ่มพวง” เข้าวงการภาพยนตร์แล้วอยู่ในกองถ่าย แอบน้อยใจที่ไม่มีใครดูแลและหาข้าวหาน้ำให้กิน (คือดูแลแต่ดาราดัง ๆ) จนบ่นเสมอว่า “อย่าให้หนูดังบ้างนะ” แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ผันผ่านมาจนกระทั่งความดังสูงสุดในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่งในประเทศไทย
ส่วนคนที่เอาเพลงของพุ่มพวงมาร้อง แล้วไม่ดังไม่ประสบความสำเร็จ ก็คงไม่ใช่ “อาถรรพณ์” แต่คงเป็นเพราะไม่มีใครร้องได้ดี เท่ากับ “พุ่มพวง” หรือความประทับใจสูงสุด มันตราตรึงสะกดใจแฟนเพลง จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นใครได้ เพราะเธอคนนี้คือหนึ่งเดียวราชินีลูกทุ่งไทยในนาม “พุ่มพวง ดวงจันทร์”.