อีเอ็มซี เผยแนวโน้มการเติบโตด้านไอทีในปี 2557 เผยองค์กรปรับโครงสร้างไอทีรองรับการใช้อินเทอร์เน็ต ขณะที่บิ๊กดาต้ายังอยู่ในเทรนด์การลงทุนเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ มั่นใจลงทุนด้านไอทีอย่างต่อเนื่อง...
นายนฐกร พจนสัจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตด้านไอทีในปี 2557 มีหลายด้านที่จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับเปลี่ยนด้านไอที เพื่อรองรับการใช้งานของอินเทอร์เน็ตที่มีการขยายตัวเกินกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ที่เข้าสู่สินทรัพย์ขององค์กร ขณะเดียวกันองค์กรที่มีมาตรฐานด้านไอทีระดับสูง ก็จะมีการปฏิรูปแอพพลิเคชั่น โครงสร้างพื้นฐาน และขีดความสามารถในการกู้คืนข้อมูลใก้ดีขึ้น, บิ๊กดาต้า โดยในเอเชียแปซิฟิกรวมถึงญี่ปุ่น บิ๊กดาต้ามีแนวโน้มการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจ รวมถึงผลกระทบต่อการสร้างการแข่งขันและลดความเสี่ยงเชิงธุรกิจ, ระบบไอทีที่ไว้วางใจได้ เนื่องจากในปี 2556 มีการพบช่องโหว่ของระบบความปลอดภัยและการโจมตีแบบมีเป้าหมาย
ผู้จัดการประจำประเทศไทย อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) กล่าวอีกว่า ผลสำรวจที่อีเอ็มซีสนับสนุนพบว่าองค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกประเมินค่าความเสียหายจากการที่ข้อมูลรั่วไหลได้ถึง 945,187 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งความเสียหายดังกล่าวครอบคลุมการสูญเสียรายได้ ผลิตภาพ ความภักดีของลูกค้า และการสูญเสียธุรกิจให้กับคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม อีเอ็มซีแนะนำว่าในปี 2557 ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จจะต้องเน้นการวางแผนและพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ขณะที่ การยกระดับการใช้ไอทีนั้น เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
ทั้งนี้ อีเอ็มซี ได้เปิดตัวสตอเรจอาเรย์รุ่นแรก “XtremIO” ซึ่งใช้หน่วยเก็บข้อมูลแบบแฟลชในการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมด และมีสถาปัตยกรรมมัลติคอนโทรลเลอร์แบบ Scale-Out ความสามารถในการขยายขนาดและประสิทธิภาพเชิงเส้น รวมถึงการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อนที่เปิดใช้งานแบบอินไลน์ ปกป้องประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 6 เท่า และให้ความเร็วสูงกว่า 4 เท่า พร้อมจุดเด่นทางเทคโนโลยีของ XtremIO อาทิ Content-Based Data Placement, Dual-Stage Metadata Engine, XtremIO Data Protection (XDP), Shared In-Memory Metadata ซึ่ง อีเอ็มซี คาดว่า XtremIO จะเป็นผู้นำในตลาดอาเรย์แบบแฟลชทั้งหมด จากการคาดกาณ์ของไอดีซี (บริษัทวิจัยและสำรวจระดับโลก) ระบุว่าตลาดกลุ่มดังกล่าวจะมีการเติบโตด้วยยอดขายกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2558.
