ไปฟังผู้รู้เสวนาเรื่องเครื่องจักรกลการเกษตร ที่มหาวิทยาลัยเกษตร-ศาสตร์ ได้แง่คิดที่ผู้บริหารนโยบายประเทศ ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯน่าจะนำมาเป็นดัชนีวัดความสามารถของตัวเอง
เพราะได้สะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 81 ปี นับแต่มีการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง และ 121 ปี ของการสถาปนากระทรวงเกษตรฯ... การพัฒนาเกษตรของบ้านเราเป็นไปแบบถอยหลังลงเหว
นี่ไม่ใช่ข้อเขียนจากการนึกคิดไปเองหวังแดกดันใคร แต่เป็นความรู้สึกเมื่อได้ยินต่างชาติพูดถึงเกษตรกรในบ้านเรา นายเฉินจิงเฉิน นักธุรกิจไต้หวันเข้ามาค้าขายสินค้าทางการเกษตรในบ้านเรามาหลายสิบปี ได้เปรียบเทียบวิธีคิดของเกษตรกรไทยกับไต้หวัน
เกษตรกรไทยเวลาเจอหน้ากัน มักจะพูดทักทาย...ปีนี้ปลูกพืชไปเท่าไร มากแค่ไหน (กี่ไร่)
ในขณะที่เกษตรกรไต้หวันจะทักทายว่า...ปลูกพืชอะไร ได้ผลผลิตเท่าไร (1 ไร่ได้กี่ตัน)
ได้ยินอย่างนี้ ท่านผู้มีอำนาจ มีหน้าที่โดยตรงรู้สึกเช่นไร...เกษตรกร ไทยเน้นปริมาณ ไม่สนคุณภาพ จะขายได้ราคาหรือเปล่าไม่สน ปลูกมากไว้ก่อน ไม่เพียงจะทำให้มีปัญหาเป็นหนี้ขาดทุนยากจนตามมา ยังทำให้การบุกป่าเปิดที่ทำกินเพิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก...เรียกว่าการพัฒนาที่ผ่านมาถอยหลังกลับสู่ยุคล่าอาณานิคมเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน
และเขายังเปรียบเทียบถึงวิธีคิดภาครัฐที่แตกต่างกันอีกว่า ไต้หวันมองการทำเกษตรคือ ธุรกิจ
นายเปรม ณ สงขลา บรรณาธิการวารสารเคหเกษตร ก็บอกเช่นกันว่า ไม่เพียงไต้หวัน ประเทศอื่นๆมองเรื่องนี้เหมือนกันหมด แม้แต่มาเลเซีย อินโดนีเซีย มองการทำเกษตรคือธุรกิจ เมื่อเกษตรกรควักเงินลงทุนไปแล้วจะต้องได้อะไรกลับคืนมา และมองว่าปัจจัยการผลิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยา สารเคมี เครื่องจักรกล คือ Infrastructure หรือโครงการพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดหา สนับสนุน อุดหนุนให้เกษตรกรได้ใช้ในราคาที่ถูกอย่างเหมาะสม
ส่วนนโยบายของเรากลับมองเกษตรเป็นแค่การทำมาหากินเพื่อความอยู่รอด การให้ความช่วยเหลือจึงออกมาในรูปสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือแบบให้ทาน เพื่อให้มีกินกันไปวันๆเท่านั้นเอง
ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยทำไมยิ่งพัฒนา เกษตรกรไทยถึงยิ่งยากจน...และทำไมการช่วยเหลือจากภาครัฐถึงไม่ช่วยให้เกษตรไทยเข้มแข็ง ยืนด้วยลำแข้งตัวเองเสียที.
ชมชื่น ชูช่อ