นิทานบนก้อนเมฆ : อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย...
 


นิทานบนก้อนเมฆ : อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย...


นิทานบนก้อนเมฆ : อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย...

ช่วงปิดเทอม ผมมักพาลูกไปเล่านิทานและส่งหนังสือด้วยกัน วันหนึ่ง ผมมีคิวไปส่งหนังสือแถวสวนผักและปิ่นเกล้า เสร็จแล้วเลยไปแวะรับประทานอาหารที่ The Circle ถ.ราชพฤกษ์ และได้เจอโรงเรียนสอนปั้นดินหน้าตาดีชื่อว่า kidsmatter ไหนๆ มีเวลาเหลือเฟือเลยให้ลูกชายได้ลองไปจับๆ ขยำๆ ดินเสียหน่อย โดยส่วนตัว ผมชอบดินเหนียวมากกว่าพวกดินน้ำมันหรือแป้งโดว์สีๆ ผมรู้สึกว่าดินเหนียวมันเป็นธรรมชาติ ดิบๆ และจริงใจดี


วันที่ไป ผมได้เจอ “คุณเต้” หรือ คุณปุณฑริกา ยุกตะเสวี ผู้อำนวยการ kidsmatter คุณเต้เล่าให้ฟังว่า เธอมีลูกฝาแฝดชายหญิง สมัยวัยเด็กลูกชายมีอาการชักจากไข้สูงทั้งหมด 7 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 9 เดือน จนถึงอายุ 4 ขวบ ทำให้มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน คุณหมอทางระบบประสาทและสมองจึงแนะนำให้ไปเรียนปั้นดินเหนียวจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นการปั้นดินเหนียวตามจินตนาการ ไม่มีต้นแบบให้ปั้นตาม เด็กจะได้ฝึกการคิดเองตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ผลงานชิ้นใหญ่ ทำให้ได้ใช้กล้ามเนื้อมือทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก ฝึกสมาธิ รวมทั้งได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ คุณเต้จึงพาลูกชายไปฝึกเรียนปั้นดินตั้งแต่อายุ 3 ขวบ หลังจากเรียนอย่างสม่ำเสมออยู่ 1 ปี พัฒนาการของลูกชายก็ดีขึ้น จนเมื่อถึงอนุบาลสองก็สามารถสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าการปั้นดินเหนียวจากธรรมชาติจะช่วยเสริมพัฒนาการของเด็กได้จริง จนเปิดเป็นสถาบันขึ้น


วันนั้นผมให้แม่ลูกใส่ผ้ากันเปื้อนลองลงมือทำก่อน คุณครูนำถุงดินเหนียวมาให้ 2 ถุงใหญ่ ภรรยาผมกำลังปลูกต้นไม้พอดีเลยปั้นเป็นกระถางต้นไม้


ระหว่างนั้นผมเดินถ่ายรูปผลงานของนักเรียนที่มีชื่อของแต่ละคนแปะเอาไว้ คุณครูบอกว่าเด็กๆ มาเรียนปั้นที่นี้จะไม่มีคำว่าผิด อยากปั้นอะไรก็ได้ รูปกระต่ายน่ารัก ผู้หญิงสวย สัตว์รูปร่างหน้าตาแปลกๆ ที่ไม่เคยมีในโลก คุณครูจะคอยแนะนำและเลือกเครื่องมือมาช่วยเหลือ เมื่อปั้นเสร็จแล้ว เด็กๆ จะฝากผลงานไว้ให้คุณครูนำไปเข้าเตาเผา และจะมารับงานในวันต่อไป


ผมกลับมาดูผลงานของลูกชาย เขาชอบไดโนเสาร์ เลยปั้นเจ้าที-เร็กซ์ ตาโปนๆ จมูกบานๆ เจ้าไดโนเสาร์ดินตัวนี้ทำให้เจ้าลูกชายผมนั่งนิ่งๆ เกือบครึ่งชั่วโมง เอาดินปะแล้วเอาเครื่องมือตกแต่ง
อยู่พักใหญ่จนพอใจ


พอทำเสร็จลูกชายก็ซน ขอปีนบันไดขึ้นไปด้านบนเพราะอยากรู้ว่ามีอะไร ปรากฏว่าเป็นห้องเรียนศิลปะครับ คุณครูให้เลือกว่าอยากทำงานแบบไหน จะวาดรูประบายสี อยากใช้สีอะไรก็มีให้ทุกชนิด หรือจะทำงานตัดแปะก็ได้ เป็นพื้นที่ที่เปิดให้เด็กๆ ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างเต็มที่


ผมสอบถามคุณเต้ถึงรูปปั้นเณรน้อยที่คุ้นตา คุณเต้บอกว่าเป็นผลงานของครูนายดี ช่างหม้อ ประติมากรชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้คิดค้นหลักสูตรและฝึกสอนครูให้กับ kidsmatter มีผลงานของครูหลายชิ้นให้ได้ชมที่นี่ด้วย


คุณเต้ได้แนะนำคุณครูอีกท่านคือ ครูเบ๊นซ์ ที่มีผลงานโดดเด่นสะดุดตาโดยใช้เทคนิคการเผาแบบรากุ ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของญี่ปุ่น เป็นการตั้งเตาเผาด้านนอก พอเผาเสร็จ เวลานำออกจากเตาขณะงานยังร้อนๆ อยู่ จะทำการช็อกด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน เช่น ทราย แกลบ ฯลฯ จะได้ผลงานที่ไม่เหมือนกันเลยสักชิ้น งานจะเป็นชิ้นเดียวในโลกที่มีสีและความมันวาวแบบเฉพาะตัว


ภรรยาและลูกชายฝากผลงานไว้ให้คุณครูช่วยนำเข้าเตาเผาแล้วจึงพากันกลับบ้าน ผมนึกถึงหนังสือเด็กเรื่องหนึ่งซึ่งเหมาะกับประสบการณ์ที่ลูกชายได้รับมา นั่นก็คือนิทานเรื่อง “ชวนเพื่อนมาปั้น เครื่องปั้นดินเผา” ของ อ.ปรีดา ปัญญาจันทร์ เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทกลุ่มหนังสือสารคดีสำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี จากการประกวดหนังสือดีเด่นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี 2555 ผมชอบเรื่องนี้มาก เพราะเริ่มเล่าตั้งแต่ไปขุดดินเหนียว แล้วนำมาร่อน ผ่านกระบวนการต่างๆ จนไปถึงการนำดินไปเข้าเตาเผา ภาพประกอบในเล่มนี้ดูเพลินตามากครับ ผมชอบเตาเผาที่ อ.ปรีดา วาดได้เหมือนจริงมากๆ และบรรจงระบายสีอิฐแต่ละก้อนให้แตกต่างกัน แนะนำให้ลองซื้อมาอ่านกันครับ


ส่วนใครที่สนใจจะให้ลูกๆ ไปเรียนปั้นดินที่ kidsmatter ลองโทรไปติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 02-863-8777, 086-303-3909 หรือดูกิจกรรมได้ที่ https://www.facebook.com/KidsmatterThailand ครับ

น้าเมฆ 
http://www.facebook.com/cloudbookfanpage

 



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.