สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ว่า ศาลฎีกาของแคนาดา มีคำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในคดีของชายคนหนึ่งที่สมองถูกทำลายขั้นรุนแรงว่า ครอบครัวควรจะเป็นผู้ตัดสินว่า เมื่อไหร่ที่ควรถอดเครื่องช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เป็นญาติพี่น้องตัวเอง ไม่ใช่แพทย์ชี้ขาด โดยในคำตัดสิน 5-2 เสียง ผู้พิพากษา กล่าวว่า คณะแพทย์ประจำตัวของนายฮัสซัน ราซูลี ในโตรอนโต ต้องได้รับความเห็นชอบจากภรรยาของนายราซูลี เพื่อถอดท่อส่งอาหารและน้ำ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถขออนุญาตจากคณะกรรมการกึ่งตุลาการ ที่ดูแลเรื่องความเห็นชอบในระบบประกันสุขภาพได้

นายราซูลี วัย 61 ปี ล้มป่วยในขั้นโคม่า หลังจากเข้ารับการผ่าตัดสมอง เพื่อเอาเนื้อร้ายออกในปี 2553 ตั้งแต่นั้นมา นายราซูลี วิศวกรเกษียณอายุ อยู่ในสภาพผักเรื้อรัง (persistent vegetative state) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วย ที่ได้รับความเสียหายรุนแรงที่สมอง ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะตื่นโดยไม่มีสติรู้ตัว หรือเป็นเจ้าชายนิทรา ซึ่งไม่มีความหวังที่อาการจะดีขึ้น
 
แต่ภรรยาของเขา นางปารีเชอร์ ซาลาเซล ซึ่งอ้างว่า ความเชื่อและศรัทธาของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ของพวกเขา และความเชื่อของเธอ ว่า หากมือและใบหน้าของเขายังขยับได้อยู่ ก็แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติอยู่ จึงไม่เห็นด้วยกับแพทย์ที่จะถอดท่อส่งอาหารและน้ำ เพื่อให้เขาสิ้นใจอย่างสงบ
 
เบเวอร์ลีย์ แม็กลาชลิน ประธานผู้พิพากษา กล่าววา การแพทย์สมัยใหม่อาจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุอยู่นานได้ แต่ประหลาดใจว่า อะไรจะเกิดขึ้น หากผู้ป่วยไม่มีโอกาสฟื้น และมีโรคแทรกซ้อนมากขึ้น เพราะร่างกายทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ