นักวิชาการชี้รายงานการศึกษาไทยรั้งท้ายคลาดเคลื่อน
 


นักวิชาการชี้รายงานการศึกษาไทยรั้งท้ายคลาดเคลื่อน


นักวิชาการชี้รายงานการศึกษาไทยรั้งท้ายคลาดเคลื่อน

นักวิชาการชี้ รายงานของ WEF และข่าวการจัดอันดับการศึกษาประเทศไทยรั้งท้ายในอาเซียน เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและสับสน...

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 56 มีรายงานจาก ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม ถึงข่าวการจัดอันดับการศึกษาประเทศไทยรั้งท้ายในอาเซียน โดยระบุว่า "หลังจากใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ในการศึกษาผลการจัดอันดับการศึกษาประเทศไทย โดย รายงานของ เวทีเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) และข้อมูลที่ค้นพบในกระแสข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมไทย ทำให้เกิดประเด็นขึ้นในความคิดว่า การศึกษาของประเทศไทย น่าจะถูกจัดอันดับรั้งท้ายของอาเซียนจริง ๆ เพราะยังไม่เจอนักวิชาการคนไทย ระดมความคิดรวบรวมข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์รายงานของ WEF  อย่างจริงจัง ในเชิงวิธีการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล และเมื่ออ่านต้นฉบับของรายงาน WEF ฉบับเต็มที่ http://www.weforum.org/reports/global-competitiveness-report-2013-2014 พบว่า มีประเด็นที่น่าพิจารณาเบื้องต้น ดังนี้

ประการแรก ประเทศไทยถูกจัดอันดับโดย WEF ได้ที่ 37 จาก 148 อันดับของโลกในตัวชี้วัดการแข่งขันโดยภาพรวม และเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่มประเทศในอาเซียน รองจาก สิงคโปร์ และมาเลเซีย ดูอ้างอิงต้นฉบับได้ที่ http://www3.weforum.org/docs/GCR2013-14/GCR_Rankings_2013-14.pdf แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ดีเลยทีเดียว

ประการที่สอง รายงานด้านการศึกษาของประเทศไทย 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 8 ตัวชี้วัด อยู่ในอันดับที่ค่อนข้างดี ไม่ได้เลวร้ายเหมือนในข่าวที่แพร่สะพัดออกมา โดยหมวดด้านการศึกษา อยู่ในอันดับที่ดีที่สุด คือ ด้านการฝึกอบรม ที่ถามคนตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ถึงการลงทุนด้านการฝึกอบรมบุคลากร และประเทศไทยได้อยู่ในอันดับที่ 50 ของโลกจาก 148 อันดับทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดของแต่ละตัวชี้วัดด้านการศึกษาในกลุ่มประเทศของอาเซียน จะพบว่า การศึกษาของประเทศไทยในรายงานการศึกษาของ WEF ก็ไม่น่าจะทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกแย่เท่าไหร่นัก

ผลการจัดอันดับที่มีปัญหาที่วิพากษ์วิจารณ์กันคือ การไปหยิบยกเพียงตัวชี้วัดเดียว ขึ้นมาสรุปภาพรวมของการศึกษาของประเทศทั้งหมด ซึ่งไม่ถูกต้อง และข้อมูลที่ได้จากตัวชี้วัดนั้นมาจากความคิดเห็นของผู้ตอบ

แบบสอบถามที่อ้างว่า เป็นผู้นำด้านธุรกิจของประเทศ แต่เมื่อไปอ่านรายละเอียดของรายงานฉบับเดียวกันของ WEF กลับระบุชัดเจนว่า คนที่แสดงความคิดเห็นเป็นเพียงกลุ่มคนที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (Potential) ไม่ใช่ผู้นำด้านธุรกิจที่แท้จริง และคำถามที่ค้นพบในปี 2008 ถามทำนองว่า คุณคิดว่า ระบบการศึกษาของประเทศคุณ ได้บรรลุความต้องการต่าง ๆ ของเศรษฐกิจที่แข่งขัน มากน้อยเพียงไร 1 คือไม่บรรลุความต้องการ และ 7 คือบรรลุความต้องการ ซึ่งการตั้งคำถามแบบนี้มีปัญหาถกเถียงกันได้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากคนตอบคนหนึ่งอาจจะนิยามถ้อยคำต่าง ๆ ในข้อคำถามแตกต่างกันได้ เช่น คำว่าระบบการศึกษาของคนหนึ่ง อาจแตกต่างไปจากสิ่งที่อีกคนหนึ่งคิดถึงระบบการศึกษา และคำว่า เศรษฐกิจเชิงแข่งขันอาจถูกให้ความหมายแตกต่างกันได้เช่นกัน

ประการที่สาม ในรายงานของ WEF มีส่วนของระเบียบวิธีวิจัยที่ต้องพิจารณาสำคัญ ๆ ได้แก่ กลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นที่ WEF ระบุไว้ในหน้าที่ 6 เป็นผู้นำทางธุรกิจ (Business Leaders) แต่ในหน้า 85 ระบุว่าคนตอบแบบสอบถามเป็นเพียงกลุ่มคนที่มีศักยภาพ (Potential) และถูกสุ่มมาตอบแบบสอบถามจำนวน 86 คนจากบริษัทต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดย WEF ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามมีความเป็นตัวแทน (Representative) ของประชากรทั้งประเทศซึ่งในทางวิชาการถ้าทำได้เช่นนั้นก็จำเป็นต้องระบุค่าความคลาดเคลื่อน (Sampling Error) แต่ไม่ปรากฏในผลการศึกษาฉบับเต็มที่เผยแพร่

กล่าวโดยสรุป รายงานของ WEF ที่จัดอันดับประเทศไทยในกลุ่ม 148 อันดับทั่วโลกครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อเสนอแนะ ดังนี้

1) ผู้ใหญ่ในสังคม นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป น่าจะศึกษาข้อมูลจากรายงานต้นฉบับก่อนนำข้อมูลผลการศึกษาใด ๆ มาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารและลดความสับสนในหมู่ประชาชน
2) หน่วยงานที่ทำวิจัยเป็นเครือข่ายของ WEF ในประเทศไทยควรมีตัวแทนออกมาให้ข้อมูลความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องแทนการปล่อยให้ผู้อื่นที่ไม่ทราบความเป็นจริงของการศึกษามาแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
3) WEF น่าจะพิจารณาปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยและหลีกเลี่ยงการเขียนผลการศึกษาที่เกิดขอบเขตของข้อมูลที่ค้นพบโดยหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่นำไปสู่การสื่อสารสร้างภาพลบต่อประเทศไทยเพราะ WEF ระบุไว้ในหน้า 35 ที่อาจถูกแปลได้ว่า สำหรับประเทศไทย การลงทะเบียนเรียน (Enrollment) และคุณภาพของอุดมศึกษาอยู่ในระดับที่ต่ำผิดปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลการศึกษาในหน้า 365 ระบุไว้ว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับค่อนข้างดีเลยทีเดียวได้อันดับที่ 55 จาก 148 อันดับของโลกและอยู่ในอันดับที่ 2 ของอาเซียน ส่วนเรื่องของคุณภาพระบบการศึกษาก็มาจากความคิดเห็นของคนตอบแบบสอบถามเพียง 86 คน ดังนั้น ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาในอนาคตน่าจะพิจารณาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่าง ๆ จากความเป็นจริงแหล่งอื่น ๆ มากกว่าเพียงความรู้สึกความคิดเห็นเพียงอย่างเดียว เช่น เด็กนักเรียนไทยที่ชนะเหรียญทองโอลิมปิกทางวิชาการด้านต่าง ๆ และจำนวนนักศึกษาไทยในต่างประเทศที่มีความสามารถศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก อันเป็นผลมาจากระบบการศึกษาในท้องถิ่นของประเทศไทย".



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.