หมายเหตุ - นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับเชิญจากรัฐบาลเข้าร่วมเวทีสภาปฏิรูปการเมือง ได้เขียนบทความอธิบายถึงเหตุผลเรียกร้องให้คนในชาติที่มีความขัดแย้งกัน หันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อสร้างความปรองดอง สร้างความสามัคคีให้ยิ้มสยามกลับมาดังเดิม มีสาระสำคัญดังนี้
เราสามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า คนไทยรุ่นนี้กำลังอยู่ในห้วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของชาติ ไม่ใช่รบราข้าศึกจากนอกบ้าน แต่เป็นการรบราฆ่ากันเองและขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง ภายในชาติของเราเอง
ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วไทยเราต้องเผชิญกับศึกเหนือเสือใต้ ขนาดที่ว่าเราเอาตัวรอดเกือบไม่ได้ ทฤษฎีโดมิโนที่สหรัฐอเมริกาเน้นแล้วเน้นอีก ทำให้ประเทศต่างๆ ที่เป็นมิตรกับไทยต่างมีความห่วงใย ว่าไทยคงไม่พ้นความพ่ายแพ้กับพลังทหารอันมหาศาลของเวียดนามและเวียดกง ตลอดจนกองกำลังรบของลาวและของเขมรแดง แต่ไทยก็สามารถนำประเทศรอดพ้นจากการตกเป็นโดมิโนได้ ดังเช่น บรรพบุรุษของเราได้นำพาประเทศให้รอดพ้นจากอิทธิพลและอำนาจทางการทหารจากต่างประเทศ ที่ล่าเมืองขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว
คำถามที่ว่า ทำไมไทยเราจึงสามารถเอาตัวรอดมาได้จนบัดนี้ ลำพังกำลังกองทัพ กองทหารของไทยเรา คงไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของข้าศึกได้ แต่ที่เราสามารถนำประเทศรอดพ้นจากภยันอันตรายมาได้ เพราะเรา
"รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ที่รุมล้อมเราได้"
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านี้ก็ คือ...
"เรามีความรักใคร่ ปรองดองกันอย่างเหนียวแน่น"
สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ไม่เลวร้ายไปกว่าสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร นอกจากทั้งสองท่านนี้ จะเป็นเผด็จการเต็มตัว แต่ภายใต้การบริหารบ้านเมืองของท่าน ท่านได้นำพาประเทศไปสู่ปากเหวแห่งการเสี่ยงที่ไทยเราอาจจะสูญเสียเอกราชอธิปไตยได้
ท่านไม่มีนโยบายประชานิยมและการฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ยังไม่รุนแรงเช่นเวลานี้ แต่ท่านก็นำประเทศไปเสี่ยงกับการที่จะตกเป็นโดมิโน จากผลของการ "ตามก้น" สหรัฐอเมริกาและก่อศัตรูรอบบ้านเรา เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ก็ผ่านพ้นเลยไปหลายสิบปีแล้ว
แต่เราก็นำประเทศชาติรอดมาได้ ไม่ใช่ใช้วิธีการตาต่อตา ฟันต่อฟันกับข้าศึก แต่ใช้ความนิ่มนวล ความอะลุ่มอล่วย ความรู้เท่าทันศัตรูและความมุ่งมั่นในการรักษาเอกราชอธิปไตยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงให้ศัตรูได้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเราและความที่เราแสดงออกให้โลกได้รู้เห็นถึงความมีเอกภาพและความมีการปรองดองซึ่งเป็นนิสัยของคนไทยเรา มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
แต่ทำไมเล่า คนไทยกับคนไทยกำลังขับเคี่ยวเอาชนะคะคานกัน ในเรื่องที่น่าจะนั่งลงพูดกันอย่างมีเหตุมีผลได้
ทำไมเล่า ขณะนี้คนไทยด้วยกันยังทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องนิดเดียว เมื่อเปรียบกับภยันอันตราย ที่เราเผชิญมาจนเกือบสูญเสียความเป็นไทย เสียเอกราชและอาจเสียทุกอย่างที่บรรพบุรุษของเราได้ต่อสู้มาให้เรา ได้มีความสุขในแหลมทองนี้ จนถึงวันนี้
เราภูมิใจที่คนชาติอื่นมองเราด้วยความอิจฉา ที่เราคนไทยมีบุญวาสนา ที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักคุ้มครองให้บ้านเมืองมากว่า 700 ปี
แล้ว "ยิ้มสยาม" เล่า หายไปไหน?
มีใครฉุกคิดขึ้นมาหรือเปล่า ว่าความขัดแย้งและความไม่พยายามที่จะหาทางปรองดองกันนั้น พี่น้องประชาชนคนไทย ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ต้องได้รับความชอกช้ำอย่างรุนแรง ความเศร้าโศกเสียใจ ความผิดหวัง และการที่มองไม่เห็นอนาคตของตัวเองและของชาติบ้านเมืองเลย
คนเราเมื่ออายุใกล้ 90 แล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมหวังว่า ผมคงไม่ต้องรอให้ถึงวันตาย ที่จะเห็นบ้านเมืองหันหน้าเข้าหากันและหาทางออก หาทางปรองดองให้จงได้
เชื่อผมเถิดครับ เชิญผู้เกี่ยวข้องโดยตรงไม่กี่คนมานั่งล้อมโต๊ะคุยกัน หยิบยกปัญหาหรือประเด็นที่ยังคั่งค้างหัวใจ และยังหาทางออกไม่ได้ (ก็รู้กันอยู่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร) แยกไว้ต่างหากแล้วก็ค่อยๆ หยิบยกปัญหานั้นขึ้นมาพิจารณา หาทางออกด้วยความเคารพในความเห็นของกันและกันอะลุ่มอล่วยกันบ้าง ลดทิฐิกันบ้าง คุยกันหลายๆ ครั้ง แต่ละครั้งก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ไปทีละเปลาะ สุดท้ายก็จะหาข้อยุติกันได้ สุดท้ายความปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้
โปรดอย่าลืมว่าเราต่างเกิดมาเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ในแผ่นดินที่เรามีแต่ความภูมิใจ เราจะสู้กันด้วยตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ต่อไปเชียวหรือ ทำไมเราไม่สู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง...
ความปรองดองเล่า?
ที่มา : นสพ.มติชน