คนสวิสกับซ่องแบบไดร์ฟ อิน และโสเภณี ที่ถูกกฎหมาย
 


คนสวิสกับซ่องแบบไดร์ฟ อิน และโสเภณี ที่ถูกกฎหมาย


คนสวิสกับซ่องแบบไดร์ฟ อิน และโสเภณี ที่ถูกกฎหมาย

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

นสวิสโดยทั่วไปแล้วเป็นคนประเภทปฏิบัตินิยม (pragmatism) คือเป็นคนประเภทที่ไม่ยึดถือเอาคำสอนของศาสนาเป็นมาตรฐานวัดว่าอะไรถูกอะไรผิด แบบว่าคุณธรรม จริยธรรมของศาสนา โดยเฉพาะของศาสนาคริสต์นั้นเป็นเรื่องเหลวใหลอย่างสิ้นเชิงไปเลยทีเดียว

ดังนั้น คนสวิสจึงประกาศตั้งตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งทั้งปวงในทวีปยุโรปมาร่วม 500 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยสงคราม 30 ปีโน่น สงคราม 30 ปี เป็นสงครามใหญ่ระหว่างรัฐต่างๆ ในยุโรปตะวันตก (พ.ศ.2161-2191) โดยสาเหตุเกิดจากความขัดแย้งภายในศาสนาคริสต์ระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์และนิกายโรมันคาทอลิกในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(TheHolyRomanEmpire)แต่ความขัดแย้งทางอำนาจทางการเมืองภายในจักรวรรดิก็เป็นส่วนสำคัญด้วยในที่สุดสงครามก็ขยายออกไปเป็นความขัดแย้งของอาณาบริเวณต่างๆทั่วยุโรปในช่วงการต่อสู้ทั่วไปสงคราม30 ปี เป็นสงครามที่ต่อเนื่องมาจากสงครามความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ในการเป็นมหาอำนาจในยุโรป และในที่สุดก็บานปลายไปเป็นสงครามที่ไม่มีเหตุผลใดที่เกี่ยวกับศาสนาเลยในที่สุด

การเป็นกลางของชาวสวิสเกิดจากความปฏิบัตินิยมโดยเฉพาะชายชาวสวิสจำนวนมากมีอาชีพเป็นทหารรับจ้าง(Mercenary)บริการทางทหารให้กับประเทศต่างๆซึ่งความเป็นทหารมืออาชีพ(Professional)ของทหารรับจ้างสวิสเป็นที่นิยมของประเทศต่างๆในยุโรปมานานแล้วแม้ในปัจจุบันทหารของนครรัฐวาติกันก็ยังใช้ทหารรับจ้างชาวสวิสอยู่จนทุกวันนี้ซึ่งผลก็คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็อยู่สงบสุขดีแต่คนสวิสก็ไปรับจ้างเป็นทหารรบทั่วยุโรป จนมีคำพูดที่ติดปากชาวยุโรปว่า "ที่ไหนไม่มีเงิน ที่นั่นไม่มีคนสวิส"

การออกเสียงประชามติ (Referendums) กับชาวสวิสนั้นเป็นของคู่กันเนื่องจากที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั้นมีการลงประชามติในระดับท้องถิ่น ระดับกังตอง (มลรัฐ) และระดับชาติทุกปี ซึ่งการลงประชามตินี้มีบังคับอยู่ในรัฐธรรมนูญนะครับ

เนื่องจากการออกเสียงประชามติเป็นประชาธิป ไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรง ดีกว่ายอมแต่ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน ซึ่งบรรดาผู้แทนราษฎรนั้น เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้าไปแล้วส่วนใหญ่จะคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนเสียเป็นส่วนใหญ่



ย่างเรื่องโสเภณีนี่นะครับ เป็นเรื่องสำคัญในประเทศที่เจริญแล้ว จะมีการออกเสียงประชามติให้ประชาชนตัดสินใจว่า จะให้มีโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อที่จะป้องกันการค้ามนุษย์ ป้องกันการแพร่กระจายของกามโรคและโรคเอดส์ และยังเป็นการกำจัดองค์กรอาชญากรรม (ขบวนการแมงดาที่หากินกับโสเภณี) ไปในตัวด้วย ที่สำคัญคือ รัฐสามารถเก็บภาษีจากโสเภณีและมีสวัสดิการให้กับโสเภณีที่เป็นอาชีพที่ถูกต้องและมีศักดิ์ศรีตามกฎหมาย



ในทวีปยุโรปมีประเทศที่มีโสเภณีและซ่องโสเภณีที่ถูกต้องตามกฎหมาย7 ประเทศ คือเดนมาร์ก, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, สวิตเซอร์แลนด์, กรีซ และตุรกี ส่วนประเทศที่ให้โสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่ห้ามมีซ่องโสเภณีมีอยู่ 16 ประเทศ คือ ฟินแลนด์, โปแลนด์, เช็ก, สโลวัก, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส, บัลแกเรีย, อังกฤษ, ไอร์แลนด์, สโลวาเกีย, เอสโตเนีย, ลัตเวีย และฮังการี

มี 3 ประเทศที่น่าสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง เพราะออกกฎหมายที่ก้าวหน้าและยุติธรรมที่สุดคือ นอร์เวย์, สวีเดน และไอซ์แลนด์ ที่ถือว่าโสเภณีผิดกฎหมาย แต่หากมีการละเมิดกฎหมาย ผู้ผิดคือลูกค้าครับ ไม่ใช่ตัวโสเภณี




คูหาเซ็กซ์ยามค่ำคืน

ราวนี้มีเรื่องที่น่าสนใจจากสำนักข่าวเอเอฟพีคือในสวิตเซอร์แลนด์การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายโสเภณีส่วนใหญ่ทำงานในซ่องและเอเยนซี่ขายบริการแต่ผู้หญิงบางส่วนจะเตร็ดเตร่หาลูกค้าตามริมถนนทำให้ชาวบ้านในเมืองซูริกสวิตเซอร์แลนด์โดยเฉพาะย่านSihlquai ซึ่งเป็นแถบใจกลางเมืองย่านถนนสายโลกีย์ของเมืองซูริกร้องเรียนว่า เซ็งกับภาพอุจาดตาของกระบวนการต่อรองระหว่างโสเภณีกับลูกค้า ดังนั้น จึงได้มีการออกเสียงประชามติกันเรื่องย้ายไปสร้างซ่องแบบไดร์ฟอิน (เหมือนโรงภาพยนตร์กลางแจ้งที่ขับรถเข้าไปดูหนังในรถในซอยลาดพร้าว 130 สมัยก่อน) แต่แบ่งเป็นช่องๆ (ดูรูป) ให้อยู่ที่ชานเมือง โดยเทศบาลเมืองซูริก ออกค่าใช้จ่ายจากเงินภาษีของชาวซูริกเอง




คูหาเซ็กซ์ตอนกลางวัน


เรื่องนี้ได้ผ่านการออกเสียงประชามติของชาวเมืองซูริกแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมพ.ศ.2555ทางเทศบาลนครซูริกจึงได้ลงมือสร้างสถานบริการทางเพศรูปแบบใหม่ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"คูหาเซ็กซ์(sex boxes)" มีกำหนดทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2556 นี้เอง โดยซ่องโสเภณีแบบไดร์ฟ อิน นี้ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมเก่าแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมืองซูริก

สำหรับผู้ชายที่ต้องการใช้บริการแบบนี้ต้องขับรถเข้ามาคนเดียวเท่านั้น โดยขับผ่านประตูเข้ามาเพียงลำพัง ก็จะได้รับการสนองความต้องการทางเพศจากหญิงโสเภณีประมาณ 40 คน ที่ประจำอยู่ และพอตกลงราคากันได้ ทั้งสองคนก็จะขับรถเข้าไปยังช่องสี่เหลื่ยมลักษณะคล้ายกับห้องล้างรถ เพื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ ด้วยห้องดังกล่าวติดอุปกรณ์เตือนภัยเอาไว้ ก็ทำให้โสเภณีสามารถแจ้งกับตำรวจได้อย่างรวดเร็ว หากตกอยู่ในอันตรายจากลูกค้าหน้ามืดทั้งหลาย มาตรการใหม่จะช่วยเจ้าหน้าที่สอดส่องดูแล และจัดระเบียบโสเภณีที่ถูกต้องตามกฎหมาย



มาตรการที่ทางเทศบาลนครซูริกสร้างซ่องไดร์ฟอินขึ้นนี้ เพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยแก่หญิงโสเภณี กำจัดเครือข่ายอาชญากรรมค้ามนุษย์ และลดบทบาทของการค้าประเวณีอย่างผิดกฎหมาย

อ้อ! ซ่องโสเภณีไดร์ฟอินนี้ไม่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดนะครับ แล้วก็ไม่มีตำรวจประจำการอย่างถาวร แต่จะมอบหน้าที่ดูแลนี้แก่เจ้าหน้าที่ทางสังคม กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแทน เป็นการช่วยให้ลูกค้าโสเภณีที่หน้ามืดแต่หน้าบางด้วย เข้ามาใช้บริการได้อย่างสะดวกใจ

คูหาเซ็กซ์นี้จะเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 19.00-05.00 น. โดยมีข้อกำหนดว่า ผู้ใช้บริการต้องขับรถผ่านประตูเข้าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น


ที่เมืองซูริกนี้นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา บรรดาโสเภณีทุกคนต้องมีใบอนุญาตเดินเร่ขายบริการ โดยต้องมีใบอนุญาตการทำงานและใบประกันสุขภาพเสียก่อน และเสียภาษีจำนวน 5 ฟรังก์สวิสต่อคืนด้วย ขณะเดียวกัน ทางด้านลูกค้าหน้ามืดในซูริกก็สามารถมองหาหญิงโสเภณีได้เพียง 3 จุดที่กำหนดไว้ ได้แก่คูหาเซ็กซ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จดังกล่าว แล้วก็จะสร้างเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง โดยแห่งที่สองจะตั้งอยู่ใกล้ๆ ถนนหลวง ส่วนอีกแห่งคือ ในย่านเมืองเก่าที่มีไว้บริการคนที่ไม่มีรถยนต์ต้องเดินเท้าเข้ามาใช้บริการ

ดังนั้น นับแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2556 เป็นต้นไป นักเที่ยวหน้ามืดคนใดไปซื้อหาบริการทางเพศนอกพื้นที่ที่จัดให้ จะมีโทษปรับเป็นเงิน 50 ฟรังก์สวิส

ครับ! คนสวิสนี่เขาเป็นพวกปฏิบัตินิยมจริงๆ











ที่มา นสพ.มติชน



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.