เรื่องที่ผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป...ในชีวิต "เวียร์ ศุกลวัฒน์"
 


เรื่องที่ผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป...ในชีวิต "เวียร์ ศุกลวัฒน์"


เรื่องที่ผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป...ในชีวิต

"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันผ่านมาแค่ระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็จะผ่านไป"

ตลอดเวลาเกือบ 8 ปีมานี้ สิ่งที่ "เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ" ทำ นอกจากเล่นละครอย่างต่อเนื่องให้ช่อง 7 แล้ว ก็เห็นจะเป็นธุรกิจที่มีทั้งเป็นหุ้นส่วนสถานออกกำลังกาย Health Me Lifestyle Fitness เป็นหุ้นร้าน Cool House Pub & Restaurant หุ้นกับเพื่อนในวงการทำ ร้านไก่ทอดเดชา, ร้านซอยเตี๋ยวติม, ไวน์ โซไซตี้ รวมถึง ร้านกาแฟมงคล

จนนึกไปว่าเลิกเล่นละครเมื่อไหร่ พระเอกหนุ่มคนนี้คงไปเอาดีทางทำธุรกิจแน่นอน

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีข่าว เขาคิดจะเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ เอาจริงถึงขั้นไปลงเรียนปริญญาโท คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการจัดการบริหารธุรกิจบันเทิง สถาบันกันตนาเลยทีเดียว

"ใช่ครับ" เวียร์รับคำด้วยเสียงหนักๆ และแววตามุ่งมั่น

"เพราะพอเล่นละครมานาน ก็เริ่มมีคนชวนว่าทำงานเบื้องหลังไหม"

ยังไม่ทันตัดสินใจแน่ชัด ผู้ใหญ่ของ

ช่อง 7 ต้นสังกัดก็ส่งให้บัณฑิตที่จบ

ปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น ไปเรียนต่อในคณะที่ว่า

โดยมีเป้าหมายเรียนให้รู้ เพื่อเป็นผู้จัดนั่นเอง

"เขาไม่อยากให้ใครมาว่าได้ ว่าถ้าวันหนึ่งเขาดันผมเป็นผู้จัด แล้วผมมีแค่มุมมองนักแสดงอย่างเดียว"

เทียบกับเมื่อตอนเข้าวงการใหม่ๆ เห็นได้ชัด ว่าเวียร์ในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ

"เหรอครับ" พอเราทัก เขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ไม่ใช่หน้าตา-เราบอก เพราะเขายังหล่อกระชากใจสาวเหมือนเดิม

แต่เป็นที่หุ่น ด้วยสมัยแนะนำตัวในละคร "พลิกดินสู่ดาว" เขายังเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง แต่ ณ ปัจจุบันใน "นักสู้มหากาฬ" ที่เพิ่งอวสานเขากลายเป็นพระเอกสุดล่ำ มีกล้ามแขนเป็นมัด และมีซิกซ์แพคอยู่เต็มหน้าท้อง

"เล่นละครบู๊ก็ต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงนิดหนึ่ง คนจะได้เชื่อ" เขาบอกเหตุผล

เล่าด้วยว่าที่ต้องฟิตแอนด์เฟิร์มขนาดนี้ เพราะละคร "ขุนเดช" เมื่อปีก่อนนั่นละเป็นจุดเริ่มต้น

"เขาเขียนกำกับมาเลยนะ ว่าตัวละครที่เวียร์เล่นหุ่นต้องกำยำ กล้ามเป็นมัดๆ แล้วก็บอกเราว่าถือเป็นการบ้านเถอะนะ ฟิตหุ่นที"

ขอมาอย่างนี้ ก็จัดไป

เริ่มต้นจากการไปเป็นลูกค้าที่ Health Me Lifestyle Fitness แต่เล่นแล้วติด เพราะดีทั้งต่อรูปร่าง ดีสุขภาพ แถมยังทำให้เที่ยวน้อยลง เพราะพอเหนื่อยจากการออกกำลังกาย ก็ไม่อยากทำอะไร นอกจากนอน

ผลจากการว่างเมื่อไหร่เป็นต้องไปฟิตเนส หรือถ้าไม่ว่างเพราะติดถ่ายละคร เขาก็ยังรีบตื่นแต่เช้าไปเล่นเสียก่อน ทำให้เขาตัดสินใจขยับฐานะจากลูกค้าไปเป็นหุ้นส่วนอย่างที่ว่า

"ผมรู้สึกว่าตอนนี้เล่นละครเก่งอย่างเดียว หรือหน้าตาดีอย่างเดียว สู้มีหุ่นดีด้วยไม่ได้"

แน่ล่ะ, เพราะคนดูหลายคนเชียว ชอบกล้ามงามๆ ทุกอย่างจึงต้องไปพร้อมกัน

ยิ่งในสถานการณ์ที่นักแสดงมีการแข่งขันสูงด้วยแล้ว

"ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองไม่รักษาหน้าตาให้คงสภาพหล่อใสรักษาหุ่นให้ดีไม่พัฒนาฝีมือตัวเองตลอด ถ้ามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งคุณอยู่ไม่ได้หรอก"

"ต้องมีให้ครบ เพราะคู่แข่งมันเยอะ ผมบอกตรงๆ"

ครบแล้ว ยังต้องเติมอีกส่วนสำคัญคือ "เป็นตัวของตัวเอง ซื่อสัตย์กับหน้าที่ ซื่อสัตย์กับคนดู"

อย่างที่เขาเองพยายามมาตลอด

"ตอนแรกแค่อยากเอาประสบการณ์ชีวิตช่วงหนึ่งมาเรียนรู้การเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง"เขาสารภาพ

หากทำไปทำไมก็กลายเป็นว่ายืนหยัดอยู่มาจนทุกวันนี้ซะงั้น

"ช่วงแรกๆก็มีคำสบประมาทเยอะ"

"ใครวะเนี่ย"

"พระเอกบ้านนอกนี่ใครวะ"เขาเล่าสิ่งที่เคยพบเจอแบบขำๆ

ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะไม่เคยผ่านเวทีอะไรมาสักอย่างหล่อก็ไม่หล่อ(ในสายตาเขา) แถมเล่นเป็นท่อนไม้

"เลยคิดในใจว่า เราจบวิศวะมาได้ เราก็เก่งนะ ทำไมกับแค่เล่นละครให้คนชอบจะทำไม่ได้"

พยายาม พยายาม และพยายาม สุดท้ายจึงกลายเป็นอย่างที่เห็น

"เราไม่ได้บอร์นทูบี ไม่ได้เล่นเรื่องแรกแล้วดีเลย ไม่ใช่คล่อง พลิ้ว เรามาแข็งดั่งหินผาน่ะ นึกออกป่ะ" พูดเปรียบเทียบตัวเองเสียเห็นภาพ แล้วเขาก็หัวเราะเสียงดัง

จาก "พระเอกบ้านนอก" ที่ใครๆ ก็ไม่รู้จัก กว่าจะมีวันนี้ เวียร์ว่าเขาก็เหมือนนักแสดงทั่วไป ที่เจอบททดสอบหลายอย่างในชีวิต

"งานนี้รายได้เยอะ มีคนเข้ามาชื่นชอบ เทิดทูน มองเราเป็นไอดอล เป็นซุปเปอร์

สตาร์ในใจเขา ถ้าเราไม่นิ่งหรือถ้าคล้อยตาม มันก็อาจส่งผลให้ลืมตัว"

ซึ่ง "ช่วงแรกๆ ทุกคนเป็นหมดล่ะ แต่ถ้าสามารถดึงตัวเองกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ ก็จะเป็นโชคดี"

เขาเองก็อยู่ในหมู่ผู้โชคดีนั้น ด้วยมีครอบครัวและเพื่อนคอยดึง ว่ายังไงๆ เขาก็คือ "ลูกเวียร์" ของพ่อแม่ และ "ไอ้เวียร์" ของเพื่อนๆ

ส่วนเรื่องของ "ข่าว" เมื่อผ่านช่วงหงุดหงิดในตอนแรกๆ จากความรู้สึกจะยุ่งอะไรกับชีวิตเขานักหนา เขาก็สามารถอยู่กับข่าวมาได้แบบเรื่อยๆ และสบายๆ

"มันคือธรรมชาติในสังคมของวงการบันเทิง" คนที่เจอมาเยอะบอก

"เราก็เริ่มชิน เริ่มรู้สึกว่ารับมือกับมันได้ สามารถอยู่ได้"

ดังนั้นจากที่คิดว่า พออายุสัก 30 หรือ 35 จะลาวงการก็คงไม่

"ทิ้งไม่ได้หรอก เป็นพี่ใหญ่แล้ว" เขาว่า

ส่วนธุรกิจที่ทำน่ะ ก็แค่เพื่อศึกษาและสนองความฝันในกลุ่มเพื่อนมากกว่า

อย่างเขาเองชอบกินก็เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟก็เป็นความฝันของเพื่อนที่อยากเป็นบาริสต้า ธุรกิจต่างๆ นานาที่จับจึงอาจไม่ทำกำไรมากมายนัก แต่ทั้งเขาและเพื่อนที่เป็นหุ้นก็มีความสุข

คุยมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าเวียร์จะจัดการชีวิตและความรู้สึกของตัวเองได้ดี

"คงเพราะผมเป็นคนที่ทำในสิ่งที่จะไม่กลับมาเสียใจน่ะครับ"

"หรือถ้ากลับมาเสียใจก็อย่าเสียใจนาน"

"มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันผ่านมาแค่ระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็จะผ่านไป ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข"

"เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ใช้ชีวิตแบบเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ต้องก้าวกระโดดมาก ทำในสิ่งที่อยากจะทำโดยไม่เดือดร้อนคนอื่น อย่าไปยินดีกับสิ่งที่เข้ามามากนัก"

"เอาให้พอดีๆ"

"แล้วคุณจะอยู่แบบมีความสุข"

แบบเวียร์




ที่มา : นสพ.มติชน




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.