แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น หอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) สภาหอการค้าญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์รวมในประเทศไทยเดือนมิถุนายน พบว่ามียอดขายโดยประมาณ 105,217 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ที่มียอดขายทั้งสิ้น 111,556 คัน ถือว่าเป็นยอดขายที่มีอัตราเติบโตลดลงเป็นเดือนที่สองแล้ว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุเกิดจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์ เป็นช่วงฤดูฝนและที่สำคัญเป็นช่วงที่การส่งมอบโครงการรถคันแรกเริ่มชะลอตัว โดยค่ายโตโยต้ายังคงมียอดขายสูงสุด 38,060 คัน ตามมาด้วยอีซูซุ 17,701 คัน และฮอนด้า 17,345 คัน (ดูตารางที่ 1 ประกอบ)

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับตลาดรถยนต์นั่ง ค่ายฮอนด้ายังคงมียอดขายสูงสุดจำนวน 17,345 คัน ตามมาด้วยโตโยต้า 16,844 คัน ซูซูกิ 3,949 คัน นิสสัน 3,685 คัน มิตซูบิชิ 2,514 คัน มาสด้า 1,490 คัน ส่วนฟอร์ดและเชฟโรเลตยังไม่ยืนยันตัวเลข อาจต้องรอประมาณช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนตลาดรถอีโคคาร์ปรากฏว่า ซูซูกิ สวิฟท์ มียอดขายสูงสุด 3,835 คัน มิตซูบิชิ มิราจ 2,076 คัน นิสสัน อัลเมรา 1,861 คัน (ดูตารางที่ 2 ประกอบ)

ด้านนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สาเหตุที่ซูซูกิ สวิฟท์ยังคงเป็นผู้นำตลาดอีโคคาร์ แม้ว่าตลาดรถประเภทนี้มีการแข่งขันออกแคมเปญกันรุนแรงและมีรุ่นใหม่ออกมาในตลาดด้วยนั้น เนื่องจากซูซูกิยืนยันว่าเราจะเน้นขายคุณภาพของรถเป็นหลัก อาจจะมีลูกค้าบางส่วนมองเรื่องโปรโมชั่น แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งคุณภาพของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ซูซูกิยังเร่งกระบวนการผลิตให้ลูกค้าได้รับรถเร็วขึ้น หลังจากเมื่อปีที่แล้วมีลูกค้าจองเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ต้องรอรับรถหลายเดือน

"เราถือว่าลูกค้าเป็นผู้มีบุญคุณกับเรา เพราะแม้ว่าจะต้องรอรถนานแต่ก็ยังยืนยันการรับรถ ทำให้เรายังคงเป็นแชมป์ตลาดอีโคคาร์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 (เม.ย.-มิ.ย.) จึงต้องพยายามเร่งผลิตรถให้ลูกค้าได้รับเร็วขึ้น" นายวัลลภกล่าวและว่า ขณะนี้ ซูซูกิ สวิฟท์ สามารถส่งมอบรถได้เดือนละประมาณ 4 พันคัน ตั้งใจว่าภายในเดือนตุลาคมนี้จะทยอยส่งมอบให้ลูกค้าที่จองในโครงการรถคันแรกตั้งแต่ปีที่แล้วให้หมด ยกเว้นว่าลูกค้ายังไม่พร้อมรับรถ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า