">ดร.สมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2556 สศอ. ได้มีโครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมภายใต้โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย

 

โดยโครงการดังกล่าวมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมต่ออาเซียน เพราะทั้งสามประเทศเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีบทบาทที่สำคัญทางเศรษฐกิจอาเซียน เห็นได้จากขนาดของGDPในปี 2554 รวมทั้งสิ้น 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตัวเลขของธนาคารโลก ปี 2011) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของขนาดเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนทั้งหมดที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่ของโครงการ IMT-GT ซึ่งมีทั้งสิ้น 570,157 ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งหมด 68 ล้านคน แบ่งออกเป็นอินโดนีเซีย 48 ล้านคน มาเลเซีย 14 ล้านคน และไทย 6 ล้านคน จากอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยทั้งสามประเทศถือเป็นคู่แข่งทางการค้าต่อกัน หากมีแนวทางที่ผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน ก็จะส่งผลให้เกิดมูลค่าการค้าการลงทุนในสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต

 

ดร.สมชาย หาญหิรัญ กล่าวอีกว่า นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแล้วโครงการ IMT-GT ยังสามารถนำไปสู่การสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สศอ.จึงเล็งเห็นความจำเป็นของการศึกษาศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยในการเชื่อมโยงแบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในกรอบ IMT-GT ทั้งในประเทศและในระดับพื้นที่ ซึ่งการสำรวจพื้นที่ภาคใต้ในไทยพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพในการพัฒนาร่วมมือมีทั้งหมด 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์ ไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ปาล์มน้ำมัน และอาหารทะเลแปรรูป โดยมีแนวทางความร่วมมือ เช่น การจัดตั้ง Rubber City ด้วยการชักจูงให้มาเลเซียร่วมมือกับไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ประเทศไทยผ่าน Excellent Center ของมาเลเซีย และการส่งเสริมนักลงทุนไทย ไปร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมยางครบวงจรที่อินโดนีเซีย และรวมไปถึงยุทธศาสตร์เป้าหมายของสินค้าอุตสาหกรรมไทยเพื่อแสวงหาประโยชน์สูงสุดของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตโดยเฉพาะในปี2558ที่กำลังจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

 

นอกจากนี้ สศอ. ยังได้มีการเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์เชิงลึกในพื้นที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อให้การทำยุทธศาสตร์นั้นมีความสมบูรณ์แบบและสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น