นั่งรถไฟไปฮาโกเน่
 


นั่งรถไฟไปฮาโกเน่


นั่งรถไฟไปฮาโกเน่

แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อลือชาของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยน่าจะรู้จักและคุ้นเคยมากที่สุด เห็นจะได้แก่ เมืองและย่าน “ฮาโกเน่” นั่นแหละครับ

ฮาโกเน่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโตเกียวเท่าไรนัก และก็ไม่น่าจะไกลจากภูเขาไฟฟูจิด้วย เพราะในวันใดที่อากาศดี จากบริเวณนี้จะมองเห็น “ฟูจิซัง” ถนัดชัดเจน

นอกจากความสวยงามของทัศนียภาพรอบๆ ซึ่งมีทะเลสาบและลมที่พัดเย็นชุ่มฉ่ำขณะนั่งเรือล่องลอยจากท่าหนึ่งไปอีกท่าหนึ่งแล้ว...ที่ฮาโกเน่ยังมีกระเช้าลอยฟ้า ที่จะพานักท่องเที่ยวเหาะล่องลอย ผ่านป่า ผ่านภูเขา ผ่านบ่อกำมะถัน ไปส่งที่สถานีปลายทางเพื่อให้รับประทาน “ไข่ดำ” หรือไข่ไก่ที่ต้มจากน้ำแร่กำมะถันจนเปลือกไข่กลายเป็นสีดำสนิท ที่คนญี่ปุ่นเขาหลอก เอ้ย บอกกันว่ารับประทาน 1 ฟองจะอายุยืนไป 7 ปีนั่นแหละ

ทุกๆทัวร์จากประเทศไทยมักจะพาลูกทัวร์ไปพักค้างที่ริมทะเลสาบ “อาชิ” ในย่านฮาโกเน่อยู่เสมอ ไม่ก่อนเข้าโตเกียวก็ตอนออกจากโตเกียวเพื่อไปเที่ยวเมืองอื่นๆต่อไป

ดังนั้น นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่จึงมักจะเดินทางไปที่ทะเลสาบนี้โดยรถยนต์หรือรถทัวร์ หรืออาจจะเป็นรถตู้ในกรณีที่เช่ากันไปเอง

ซอกแซกสัปดาห์นี้ ขออนุญาตเรียนว่า สำหรับท่านที่จะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเที่ยวไปตามใจชอบและเป็นอิสระจากบริษัททัวร์ในคราวใดคราวหนึ่งข้างหน้า อย่าลืมไปทดลองการเดินทางด้วยวิธีที่คนท้องถิ่นเขานิยมกันดูบ้างนะครับ

นั่นก็คือการเดินทางด้วยรถไฟสาย “โรมานซ์คาร์” จากสถานีชินจูกุไปถึงฮาโกเน่ได้เลยในเวลา 2 ชั่วโมงเศษๆโดยประมาณ

คำว่า “โรมานซ์” หรือ Romance (ฝรั่งออกเสียงโรแมนซ์) จะแปลว่าความรักหรือ อะไรๆที่มันเกี่ยวกับความรักก็ได้ แต่ในพจนานุกรมหลายเล่มเขาจะอธิบายว่า หมายถึงเทพนิยาย หมายถึงความมหัศจรรย์ตลอดจนความฝันหรือจินตนาการต่างๆเอาไว้ด้วย

เพราะฉะนั้นรถไฟสายโรมานซ์คาร์ที่ว่านี้จึงมีความหมายรวมๆกันคือ จะบอกว่าเป็นสายแห่งความรักก็ได้ หรือเป็นสายแห่งจินตนาการก็คงได้ เพราะในช่วงท้ายๆของการเดินทาง เขาจะพาไปนั่งรถรางแบบเก่าๆ แล่นเลาะไปตามไหล่เขาเหมือนนั่งไปในความฝันอย่างไรอย่างนั้น

เขามีตั๋วบริการจำหน่ายที่สถานีชินจูกุ (สถานีรถไฟ Odakyo-Shinjuku Station) ถามหาโรมานซ์คาร์ จะมีคนญี่ปุ่นที่เดี๋ยวนี้ฟังภาษาอังกฤษออกเยอะแล้วช่วยชี้ทางให้เอง (ไปถึงเคาน์เตอร์ เขาจะมีแผ่นพับพิมพ์ภาษาไทยบอกเอาไว้ด้วย)

คณะของเราซึ่งจองตั๋วล่วงหน้าไว้แล้วออกจากสถานีชินจูกุประมาณ 8 โมงเช้า ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็ไปถึงสถานีฮาโกเน่-ยามาโมโต ลงรถไฟที่นี่แล้วก็ไปต่อรถแบบรถรางขนาดใหญ่ ต่อไปยังเมืองโกระ (Gora) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

ตลอดเส้นทางรถรางจะแล่นไปเรื่อยๆ ผ่านสถานีเล็กๆรอบๆภูเขา และหยุดส่งผู้โดยสารที่จะมีลงและขึ้นเป็นระยะๆ

พอไปถึงสถานีปลายทางคือสถานีโกระหรือ Gora แล้ว ก็จะมีรถเมล์นำนักท่องเที่ยวไปส่งต่อตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆของย่านฮาโกเน่ ซึ่งจะเชื่อมต่อได้ถึงกันโดยยานพาหนะต่างๆ เช่น เรือ รถ การเดิน และกระเช้าไฟฟ้า เป็นต้น

สำหรับคณะของเราหอบกระเป๋าเดินทางมาด้วย จึงแวะไปเช็กอินที่โรงแรมเสียก่อน เมื่อได้ห้องและเก็บของเก็บกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยก็ออกตระเวนทันทีราวๆเที่ยงวันเป็นต้นไป

เริ่มตั้งแต่ลงนั่งเรือล่องทะเลสาบอันสวยงามจากท่านี้ไปท่าโน้นจนสิ้นสุดที่ท่าซึ่งเป็นสถานีกระเช้าลอยฟ้า

จากนั้นเราก็ขึ้นกระเช้าเหาะข้ามภูเขาไปสัก 2-3 ลูกได้กระมัง เพื่อไปลงที่บ่อกำมะถันที่มีควันขึ้นมากรุ่นๆ และมีน้ำร้อนไหลรินออกมาตามไหล่เขาจนเหลืองอร่ามไปทั่ว

ที่ใกล้ๆ บ่อกำมะถันมีร้านขายของที่ระลึกและขายไข่ต้มกำมะถันอยู่หลายๆ ร้านทีเดียว มีนักท่องเที่ยวมาเดินขวักไขว่หลายพันคน และน่าจะเป็นคนไทยเสียครึ่งหนึ่งกระมัง

หัวหน้าทีมซอกแซกตัดสินใจกินไข่เปลือกดำไป 2 ฟอง ไม่อยากรับประทานมากกว่านี้ เพราะ 1 ฟอง อายุยืน 7 ปี...ฉะนั้น 2 ฟอง ก็ปาเข้าไป 14 ปี...นานพอแล้วล่ะ

ที่ฮาโกเน่คณะของเราพักที่โรงแรม Hakone Hotel Kowaki-en อยู่ข้างภูเขาที่มีน้ำแร่ร้อนพวยพุ่งออกมา เขาก็เลยทำเป็นห้องออนเซ็นรวมเพื่อให้แขกได้อาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนร่วมกัน 1 ห้องใหญ่ๆ

ฝั่งตรงข้ามมีอีกโรงแรมหนึ่ง เดินข้ามไปได้เลย เป็นโรงแรมในเครือเดียวกันนี่แหละ ชื่อ ต้นเหมือนกันเด๊ะ เพียงแต่เติมคำว่า Yunessun ต่อท้ายไปอีก 1 คำ

ที่ Yunessun จะมีห้องอาบน้ำแร่ขนาดใหญ่ และยังมีสารพัดน้ำแร่ให้อาบ มีทั้งน้ำแร่ผสมชา น้ำแร่ผสมไวน์ น้ำแร่ผสมกาแฟ ฯลฯ มีคนญี่ปุ่นทั้งที่พักค้างและมาซื้อตั๋วอาบชั่วคราวเป็นร้อยๆคนในแต่ละรอบ

ที่นี่ดีอย่าง ที่เขาให้แต่งชุดอาบน้ำลงอาบได้ไม่ต้องเปลือยกายอาบแบบโทงๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่นเหมือนแห่งอื่นๆ

คณะของเราซื้อตั๋วล่วงหน้ามาแล้ว แต่เนื่องจากไม่มีเวลาพอที่จะลงไปอาบได้ก็เลยใช้วิธีเดินดูโน่นดูนี่ สังเกตการณ์และหาความรู้ครู่ใหญ่ก่อนจะกลับไปที่โรงแรมของเราเอง

แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ในช่วงดึกเมื่อกลับไปที่โรงแรมตัวเอง (ซึ่งอยู่ตรงข้าม) หัวหน้าทีมซอกแซกก็เลยตัดสินใจไปอาบรวมที่ห้อง
ออนเซ็นเพื่อหาประสบการณ์ดูบ้าง

ขนาดดึกแล้วยังมีคนญี่ปุ่นมาอาบตั้งเกือบ 30 คน และเป็นไปตามคาด ไม่มีใครนุ่งผ้าเลยสักคน

เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามเขาไป...เมื่อเขาแก้ผ้าอาบน้ำได้เราก็ต้องแก้อาบให้ได้เหมือนกัน

ตอนแรกๆ ก็เขินพอสมควรประสาคนไม่เคย แต่แผล็บเดียวก็หายเขินครับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาแจกผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆมาสำหรับเช็ดตัวผืนหนึ่ง ซึ่งแม้จะคลุมตัวไม่มิด แต่พอจะปิดบางส่วนของร่างกายได้มิดอยู่บ้าง

เราก็เอาผ้าผืนที่ว่าปิดส่วนนั้นซะ...

แค่นี้ก็หายเขินเดินลงบ่อได้สบายๆ และติดใจไปอาบต่อตอนเช้า ซึ่งมีคนเยอะกว่าเดิม โดยไม่เขินอีกเลย.

“ซูม”



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.