แถลงการณ์ปชป.โต้สปีช"ปู"
 


แถลงการณ์ปชป.โต้สปีช"ปู"


แถลงการณ์ปชป.โต้สปีช
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8198 ข่าวสดรายวัน


แถลงการณ์ปชป.โต้สปีช"ปู"


รายงานพิเศษ



หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 8 พ.ค. พรรคประชาธิปัตย์เผยแพร่แถลงการณ์ตอบโต้คำปาฐกถาของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวในที่ประชุม ประชาคมประชาธิปไตย ประเทศมองโกเลีย



นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 ประเทศไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยและอุปสรรคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง



อย่างไรก็ดีประชาชนชาวไทยก็ไม่เคยหมดความหวังและไม่ท้อถอยในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง



ในการกล่าวสุนทรพจน์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย ณ เมืองอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556



น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวติติงต่อกระบวนการประชาธิปไตย ของประเทศว่า มีการถดถอยและเสื่อมลง โดยอ้างว่า ตัวเธอ พี่ชาย และครอบครัวของเธอเป็นผู้ปกป้องคุณค่าของประชาธิปไตย



และยังกล่าวว่าฝั่งของเธอนั้นเป็นตัวแทนของประชา ธิปไตยที่แท้จริง โดยกล่าวหาว่ามีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตย ดำรงอยู่ภายในประเทศไทย



โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นที่ประจักษ์กันทั่วไปว่าครอบครัวนายกรัฐมนตรี และโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น รํ่ารวยขึ้นมาจากการได้รับสัมปทานการสื่อสารในอดีต จากรัฐบาลที่นำโดยกลุ่มของทหารจากเหตุการณ์ปฏิวัติในปี พ.ศ. 2534



ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าสู่เวทีการเมืองและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ.2544-2549 การบริหารราชการแผ่นดินของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เต็มไปด้วยการ ทุจริตคอร์รัปชั่น



มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจ นโยบายการทำสงครามยาเสพติด ซึ่งก่อให้เกิดการฆาตกรรมเกินขอบเขตกฎหมายหรือ "การฆ่าตัดตอน" หลายพันศพ



รวมทั้งนโยบาย "กำปั้นเหล็ก" ต่อเหตุการณ์ความ ไม่สงบในภาคใต้เป็นหลักฐานของการขาดความเป็นประชาธิปไตย



วิธีการบริหารบ้านเมืองโดยการใช้อำนาจแทรกแซงองค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ่วงดุล รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม และการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง



นำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชนจนการประท้วงลุกลามออกสู่ท้องถนน และรัฐบาลในขณะนั้นกลับสนับสนุนให้มีสถานการณ์การเผชิญหน้า



พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจยุบสภาและในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ รักษาการ ฝ่ายทหารได้เข้าแทรก แซงในเดือนกันยายน ปีพ.ศ.2549 และแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนชั่วคราว



ต่อมาก็มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนให้ความเห็นชอบต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนสิงหาคม ปีพ.ศ.2550 ในการลงประชามติซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทย การเลือกตั้งทั่วไปจึงได้เกิดขึ้น



นายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชนที่มี พ.ต.ท.ทักษิณสนับสนุน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และเป็นนายกฯ ในต้นปีพ.ศ.2551 จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อต่อสู้ต่อคดีทุจริต



และไม่นานก่อนที่จะถึงการตัดสินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกประเทศเป็นการชั่วคราวและมิได้กลับมาสู่ประเทศไทยจนกระทั่งปัจจุบัน โดยศาลได้พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีในคดีดังกล่าว



นายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการกระทำซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และแม้ว่านายสมัครสามารถกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก แต่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณกลับเป็นผู้ที่ได้รับการลงคะแนนให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ แทน



ตลอดมาทั้งนายสมัครและนายสมชาย มีความพยายาม จะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางกลับสู่ประเทศไทยอย่างพ้นผิด และปราศจากมลทินทุกประการ



เรื่องดังกล่าวเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงบนท้องถนนขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นนายสมชายก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบในข้อหาทุจริตในการเลือกตั้ง



ในการเลือกนายกฯ คนต่อมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนตัดสินใจลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรเลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็น นายกฯ คนที่ 27 ของประเทศไทย



โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี พ.ศ.2551 ถึงเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.2553 ในช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สภาพการเมืองไทยมีการเผชิญหน้าและมีความรุนแรง



สืบเนื่องมาจากแนวทางแก้ว 3 ประการของพ.ต.ท. ทักษิณ และกลุ่มผู้สนับสนุน คือ พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธ



โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้มีส่วนร่วมในการประท้วงกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งศาลยุติธรรมมีคำพิพากษาให้เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ใช่เป็นไปตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ



การชุมนุมมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของผู้อื่น และยังมีกองกำลังที่เรียกว่า "ชายชุดดำ" ใช้อาวุธสงคราม เช่น ลูกระเบิด M67 M79 และอาวุธสงครามต่างชนิด



แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยแถลงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าการประท้วงในปีพ.ศ.2553 นั้นเป็นไปเพื่อประชาธิปไตยและเป็นไปในแนวทางของสันติวิธี



แต่ควรจะเรียกว่าเป็นการชุมนุมที่มีกองกำลังติดอาวุธ ก่อการร้ายต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ฝ่ายรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ได้นำประเทศกลับสู่ภาวะปกติด้วยกลไกต่างๆ ภายในขอบเขตของกฎหมาย



ผู้เสียชีวิต 91 คนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุนั้น มีทั้งข้าราชการ ทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษากฎหมายและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และผู้ประท้วงหลายคนถูกเข่นฆ่าด้วยกลุ่มกองกำลัง ติดอาวุธ



และขณะนี้กระบวนการยุติธรรมของประเทศก็ได้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด และพ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายจากเหตุการณ์ ดังกล่าว



นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่เพื่อเป็นการแสดงออกต่อความปรองดอง ในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.2554



น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายกฯ ขณะที่ประเทศไทยมีความเสถียรภาพและมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง แต่กลับทำหน้าที่ด้วยการรับคำสั่งจากพี่ชาย และหลีกเลี่ยงการทำหน้าที่ อย่างเช่นการเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา



น.ส.ยิ่งลักษณ์และพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงดำเนินการอย่างไม่ลดละที่จะรวบอำนาจรัฐ และพยายามลดความน่าเชื่อถือขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระ



และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีกลุ่มมวลชนของรัฐบาลที่เรียกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังมีพฤติกรรมคุกคาม ข่มขู่องค์กรตุลาการ ภาคประชาชน พรรคการเมือง และสื่อมวลชนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล



สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อคุกคามฝ่ายตรงข้าม ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงไม่เหมาะสม ที่จะเป็นผู้กล่าวประณามผู้อื่นว่าไม่มีความเป็นประชา ธิปไตย



พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดต่อหลักการว่าด้วยเสรีประชาธิปไตย ทั้งชายและหญิงควรจะได้รับความเคารพในสิทธิ การแสดงออกอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีความคิดทางการเมืองในฝ่ายของเสียงข้างมากหรือไม่ก็ตาม



การประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงและการคุกคามต่อองค์กรภาคประชาสังคมและผู้ที่เห็นต่าง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และความหวังของประชาชนชาวไทย



โดยที่การตระหนักและการเล็งเห็นการคุกคามต่างๆ ต่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงโดยประชาชนคนไทย และมิตรสหายในประชาคมโลกเท่านั้น จึงจะสามารถร่วมกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาธิปไตยของประเทศมีความยั่งยืนสืบไป


หน้า 3




// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.