ประธานนปช. มองม็อบสนามม้า

 


ประธานนปช. มองม็อบสนามม้า


ประธานนปช. มองม็อบสนามม้า
วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8016 ข่าวสดรายวัน


ประธานนปช. มองม็อบสนามม้า


รายงานพิเศษ



หมายเหตุ : ในขณะที่พล.อ. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ประกาศเตรียมเรียกชุมนุมรอบสอง นางธิดา โตจิราการ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เขียนบทความ "ปรากฏการณ์สนามม้า" สัญญาณ สู้รบใหม่ของระบอบอำมาตย์ มีเนื้อหาดังนี้



หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2554 เครือข่ายระบอบอำมาตย์ก็ต้องทบทวนปัจจัย แห่งความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง และยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอนจากอำนาจแต่ประการใด



เราลองตรวจสอบขบวนแถวเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ซึ่งที่จริงจะเห็นร่องรอยง่ายกว่านี้ถ้าไม่เกิดมหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจเป็นการวางยาหรืออย่างไร? ที่ทำให้น้ำในเขื่อนถูกเก็บไว้มากกว่าปีก่อน ซึ่งก็มีน้ำท่วม



แต่หลังจากครบรอบปีการเกิดอุทกภัย แน่นอนว่าปลอดภัยจากน้ำท่วม สัญญาณรบก็เริ่มชัดเจนขึ้น



ตรวจสอบไปที่พรรคประชาธิปัตย์ เราเคยมีข้อสรุปจากบทความก่อนหน้านี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งการต่อสู้ในรัฐสภาโดยการป่วน ทำให้รัฐสภากลายเป็นสถานที่ไม่น่าเชื่อถืออีกในภาพรวม เมื่อลากเก้าอี้ ยื้อยุดประธานรัฐสภาให้ลุกออกมาพร้อมปาแฟ้มใส่



ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นแสดงหนักเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระสอง กลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยก็ออกมาขวางการลงมติ พ.ร.บ.ปรองดอง



การแสดงออกเหล่านี้เป็นการเริ่มก่อตัวเพื่อขยายแนวต่อต้านรัฐบาล โค่นล้มรัฐบาล และปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 โดยต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและต่อต้านการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ปรองดอง



ทั้งหมดนี้เป็นการต่อสู้ที่มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เดียวกัน ทั้งหมดแสดงถึงเอกภาพในการวางแผนขับเคลื่อน



ถ้าตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพรรคประชา ธิปัตย์ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวอยู่เสมอว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้งานมวลชนคนเสื้อแดงและโรงเรียนการเมือง นปช.



ดังนั้น จึงกล่าวชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานแย่งชิงมวลชน หรือสร้างมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยมีมวลชนคนเสื้อแดง



ดังนั้น การมีบลูสกายและช่องอื่นๆ อีก 2 ช่องก็เพื่อย้อนรอยคนเสื้อแดง รวมทั้งการเดินสายเปิดเวทีปราศรัยทุกสัปดาห์ และเปิดโรงเรียนการเมืองเลียนแบบย้อนรอย



แม้ว่าจะได้มวลชนคนละแบบ ไม่ใช่มวลชนคนที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่เป็นมวลชนที่ ตามหลังอย่างเชื่องๆ หรือถูกล้างสมองว่าต่อสู้กับพวก ล้มเจ้า เขาเปลี่ยนมวลชนในระบบของพรรคเป็นมวลชนที่ต่อสู้นอกระบบของระบอบอำมาตย์



เดิมพันนี้สูงมาก หมายถึงอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์และการดำรงอยู่ของระบอบอำมาตย์ เราจึงเห็นการทุ่มสุดตัวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกเดินสาย



ด้านหนึ่งแก้ตัวให้กับความผิดกรณีปราบปรามประชาชนปี 2553 ใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีกด้านหนึ่งพยายามขยายมวลชนของตน สร้างมวลชนต่อสู้เพื่อระบอบอำมาตย์



แม้ไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ เพียงแค่อ้างว่ามาสู้เพื่อล้มรัฐบาลที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็อาจได้มวลชนนอกระบบจำนวนหนึ่งที่สามารถต่อสู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้



ดังนั้น การทุ่มสุดตัวเหมือนเมื่อครั้งล้มรัฐบาลไทยรักไทย หรือให้ยิ่งใหญ่กว่าเพราะจะล้มยากกว่า ก็คุ้มค่ากับการลงทุน



ตรวจสอบที่กองกำลังนอกระบบ ขณะนี้ที่นำโดย เสธ.อ้าย- พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ก็เป็นผู้นำที่ถูกดึงขึ้นมาเพื่อยกระดับงานมวลชนของระบอบอำมาตย์ เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้การยอมรับจากพรรคประชาธิปัตย์และกองทัพ หรือหน่วยงานความมั่นคง หรือกลุ่มแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตย (ของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร)



จากบนลงล่าง จะเห็นได้ว่าเสธ.อ้ายจะพูดแบบขู่ทุกครั้งว่าถ้าคนไม่ได้ตามเป้าเขาจะเลิกนำ แสดงว่าเงื่อนไขสำคัญในการนำมวลชนของระบอบอำมาตย์ต้องขอกำลังจริง



เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะให้เครือข่ายระบอบอำมาตย์อื่นสนธิกำลังเข้าด้วยกันล้ม รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ขบวนการคนเสื้อแดง ปกป้องรัฐธรรมนูญ 50 องค์กรอิสระของรัฐธรรมนูญ 50 และอำนาจตุลาการนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ 50 ไว้ได้หมด ไม่มีการเลือกตั้งอย่างน้อย 5 ปี



และปิดประเทศจนกว่าระบอบทักษิณตามที่เขาเชื่อจะถูกทำลายหมด นี่ก็คล้ายเป็นยุครัฐประหารหลัง 6 ตุลา ที่รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ประกาศขั้นตอนสู่ประชาธิปไตยต้องใช้เวลา 12 ปี



เป็นวิธีคิดอำมาตย์แบบเดียวกันคือ ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน กองกำลังนอกระบบนี้จึงมาจากพรรคการเมือง นักธุรกิจสายอำมาตย์ กลุ่มธุรกิจการเงิน เจ้ามือต่างๆ (หวย บ่อน ยาเสพติด) นอกระบบ ที่เสียผลประโยชน์จากรัฐบาลทักษิณ และหน่วยงานความมั่นคงที่มีระบบคิดว่า ความมั่นคงคือการพิทักษ์ระบอบอำมาตย์แล้วพิฆาตประชาชน



เมื่อขบวนแถวมี 1.พรรคการเมือง อนุรักษนิยม 2.กองกำลังนอกระบบ และมวลชนระบอบอำมาตย์ก็รอกวักมือเรียก กลุ่มที่ 3.คือ กองกำลังในระบบของระบอบอำมาตย์มาทำรัฐประหาร เช่นคราวนายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าพบพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน



4.ยังมีกำลังสำคัญคือ ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ร่วมกับองค์กรอิสระต่างๆ และกลุ่มส.ว.สรรหา เป็นกองทัพประจำการและข้าราชการประจำขององค์กรที่ไม่ได้ยึดโยงมาจากประชาชน




ที่เป็นกลไกรัฐสำคัญที่จะร่วมกับพรรคการเมืองและมวลชนนอกระบบ เพื่อทำการหยุดประเทศไทยไม่ให้ก้าวต่อไปตามทิศทางที่ประชาชนเป็นใหญ่ และทนไม่ไหวกับการที่รัฐบาลนี้จะอยู่ต่อไปยาวนาน เพราะหมายถึงจุดจบของระบอบอำมาตย์



เพราะประชาชนรากหญ้า ผู้ใช้แรงงาน คนชั้นกลาง ปัญญาชนจะเข้าร่วมในทิศทางประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ



นี่จะเป็นสัญญาณสู้รบใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ของระบอบอำมาตย์ที่ประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะประมาทมิได้ แม้ความชอบธรรมจะไม่ได้อยู่ที่กลุ่มคนเหล่านี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขากล่าวเอาไว้ว่าจะใช้วิธีไหนก็ได้



นี่ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเรื่องการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ประกาศเสียทีจะดีไหม ก็เพียงแค่เปิดประตูให้ฝ่ายอัยการเขาได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้นเอง



จะได้เป็นยันต์กันผู้ร้ายเข้าสิงร่างกายของพวกเทพๆ ทั้งหลาย ที่บอกว่าประชาชนเป็นพวกมาร...ต้องปราบ....ต้องฆ่า!!!


หน้า 3



// //
Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.