ยิ่งอยู่-ยิ่งพุ่ง! ยิงนานยิงฟุบ?

 


ยิ่งอยู่-ยิ่งพุ่ง! ยิงนานยิงฟุบ?


ยิ่งอยู่-ยิ่งพุ่ง! ยิงนานยิงฟุบ?
วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7797 ข่าวสดรายวัน


ยิ่งอยู่-ยิ่งพุ่ง! ยิงนานยิงฟุบ?





ไม่ผิดจากผลวิจัยเชิงสำรวจของเอแบคโพลล์

ที่พบภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สูงขึ้นในทุกตัวชี้วัด โดยเฉพาะความเป็นตัวของตัวเองเพิ่มสูงสุดถึงร้อยละ 63.7

ในบรรยากาศต้องเผชิญแรงเสียดทานเรื่องนโยบายรับจำนำข้าว จากขบวนการฝ่ายตรงข้ามที่ผนึกกำลังจ้องหาทางเตะสกัดทุกจังหวะ

เรียงหน้ากันออกมาตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่า จะบรรจุปัญหาการรับจำนำข้าวไว้ในหัวข้อการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติให้มีการเปิดอภิปรายก่อนปิดสมัยประชุมปลายเดือนพ.ย.



ขณะที่สมาชิกวุฒิสภากลุ่ม 40 ส.ว.ก็ร่วมด้วยช่วยเขย่า ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เพื่อให้รัฐบาลชี้แจงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ด้วยเงินงบประมาณกว่า 4 แสนล้าน

แต่ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะใช้นโยบายของรัฐบาล เป็นหอกกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลเองให้ได้ ถึงศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติเอกฉันท์ ตีตกคำร้องของอาจารย์นิด้าและพวกไปแล้ว



แต่กลุ่ม 40 ส.ว.ก็ไม่ย่อท้อ ยังหามุขใหม่มาเปิดเล่นได้เสมอ ต่อให้เป็นมุขฝืดขนาดไหนก็ตาม

อย่างล่าสุดยังเป็นส.ว.กลุ่มหน้าเดิมๆ เข้าชื่อกัน 68 คนยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญอีกคำรบ

คราวนี้ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยกรณีรัฐบาลไปทำข้อตกลงซื้อขายข้าวกับประเทศต่างๆ แบบรัฐต่อรัฐ หรือที่เรียกว่า "จีทูจี" นั้น เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ที่รัฐบาลต้องชี้แจงและขอความเห็นจากรัฐสภาก่อนหรือไม่

แล้วก็เป็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่สลัดภาพ "ปูนิ่ม" หันมาสวมวิญญาณ "นางสิงห์"

ยืนยันการทำงานของรัฐบาลปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง โดยเฉพาะการซื้อขายข้าวแบบจีทูจี ได้ผ่านการปรึกษาหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยว่า ทำได้



สั่งเดินหน้าเต็มสตรีม

หากจะว่าไป นโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาลถึงจะมี "จุดแข็ง" อยู่ตรงการเป็นนโยบายช่วยให้เกษตรกรชาวนาสามารถลืมตา อ้าปากได้

แต่ก็มี "จุดอ่อน" ที่น่าเป็นกังวลอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการขาดทุน เนื่องจากรัฐบาลซื้อข้าวมาในราคาสูงกว่าราคาตลาด

ทั้งยังเป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตทุกขั้นตอนจากกลุ่มนายทุน ทำให้ชาวนาตัวจริงไม่ได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้าง

เหล่านี้ถือเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ต้องเร่งแก้ไขและหาทางป้องกันข้อวิตกกังวลต่างๆ ไม่ให้กลายเป็นจริงขึ้นมา



ขณะเดียวกันก็เป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้าน และวุฒิสภาที่ต้องคอยเฝ้าระวังติดตามตรวจสอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองในระบบรัฐสภา

แต่จากภาพที่เห็นการตรวจสอบของพรรคฝ่ายค้านและส.ว.บางกลุ่มขณะนี้



นักวิชาการที่วางตัวเป็นกลาง หลายคนยังรู้สึกได้ว่าเป็นการตรวจสอบที่ออกแนวสุดโต่งเกินไป ใช้การเมืองนำหน้าผลประโยชน์ของประชาชน

บางจังหวะทำให้ถูกมองเป็นการจ้องโค่นล้มรัฐบาลทุกลมหายใจเข้าออกโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ที่จะตามมา

อย่างเช่นการหยิบยกข้อมูลไซฟ่อนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทที่ฮ่องกงของภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) มาขยายผล โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลที่แน่ชัดให้ดีเสียก่อน



ผลที่ตามมาแทนที่จะเป็นการทำลายเครดิตรัฐบาล กลายเป็นว่าพรรคฝ่ายค้านถูกลดเครดิต เสียผู้เสียคนเป็นแถว คล้ายกับกรณี "ว.5 โฟร์ซีซั่นส์" ก่อนหน้านี้

เพราะไม่เพียงองค์กรอิสระด้านการตรวจสอบการทุจริตในไทยไม่ว่าจะป.ป.ช. ปปง. ป.ป.ท. ต่างออกมาปฏิเสธเป็นเสียงเดียวว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

ปปง.-ป.ป.ช.ฮ่องกงที่ได้รับการประสานสอบถามไปก็ยังส่งคำตอบกลับมาว่า



ไม่พบการยักย้ายถ่ายโอนเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทจากประเทศไทยไปยังฮ่องกงเช่นกัน

ถึงจะมีข้อเสนอจากสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้รัฐบาลลดราคารับจำนำข้าวลงมาเป็น 1.3 หมื่นบาทต่อตัน เพื่อลดแรงเสียดทานและให้ใกล้เคียงกับกลไกตลาด



แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงยืนหยัด เนื่องจากรัฐบาลคิดคำนวณเปรียบเทียบกับสินค้าชนิดอื่นแล้ว ราคารับจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาทต่อตัน คือราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมกับเกษตรกรชาวนามากที่สุด



ส่วนกรณี 68 ส.ว.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขายข้าวแบบ จีทูจี อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 นั้น ได้หารือและความเห็นชอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

มั่นใจทุกอย่างทำตามขั้นตอนกฎหมาย



น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังขอร้องฝ่ายต่อต้านให้ช่วยเพลาๆ การขยายผลเป็นประเด็นการเมือง ให้มองถึงผลประโยชน์ที่จะตกอยู่กับเกษตรกรชาวนาเป็นหลัก

ฟังดูเผินๆ เหมือนเป็นพูดหาเสียงธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมองในระดับลึกลงไป ผ่านนโยบายรับจำนำข้าว เงินเดือนปริญญาตรีหมื่นห้า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

ตรงนี้เองคือปัจจัยหลักช่วยให้คะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์มีลักษณะ ดีวันดีคืน

เช่นเดียวกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่ส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ขวัญใจคนจนมาถึงทุกวันนี้

น.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังเดินตามพี่ชายมาติดๆ



จากผลสำรวจเอแบคโพลล์พบว่า นักการเมืองที่ช่วยเหลือคนยากจนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมากที่สุด

อันดับแรก ร้อยละ 22.4 ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ รองลงไปร้อยละ 21.2 ระบุ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อันดับสาม ร้อยละ 14.3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

น่าสนใจกว่านั้น เมื่อถามว่าถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งจะเลือกพรรคการเมืองใด ปรากฏเกินครึ่ง ร้อยละ 52.7 ระบุจะเลือกพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 35.9 ระบุจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์



เพียงระยะเวลา 1 ปี 2 เดือนยังทิ้งห่างกันขนาดนี้

จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงต้องหาทางเตะสกัดทุกวิถีทาง

ไม่ให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" อยู่ครบเทอม 4 ปี


หน้า 3



// //
Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.