ปิกอัพไทยฉิวเพิ่มกำลังผลิต
 


ปิกอัพไทยฉิวเพิ่มกำลังผลิต


ปิกอัพไทยฉิวเพิ่มกำลังผลิต
">ฐานการผลิตรถปิกอัพไทยยังเนื้อหอม ค่ายฟอร์ดและมาสด้า ประกาศลงทุน 837 ล้านบาทที่โรงงานระยอง  หวังเพิ่มกำลังการผลิตอีก 2 หมื่นคันต่อปี ด้านเชฟโรเลตเดินหน้าผลิตปิกอัพ โคโลราโด เต็มสูบ 3 กะ ในเดือน พ.ค.นี้ พร้อมประกาศแผนส่งออกไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง รัสเซีย และอเมริกาใต้
 แหล่งข่าววงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ยังแห่ลงทุนในไทย ล่าสุดค่ายฟอร์ดและมาสด้า ได้ทำการลงทุน837 ล้านบาทในโรงงานเอเอที หรือ โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของฟอร์ดและมาสด้า ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้จะครอบคลุมการยกระดับโรงงานด้านต่างๆ อาทิ การเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์และเครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วและจำนวนรถที่ผลิตได้ โดยกำลังการผลิตจากการลงทุนครั้งใหม่นี้จะเริ่มได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป
  โดยจะเพิ่มศักยภาพในการผลิตรถอีก 20,000 คันต่อปี ซึ่งจะทำให้สายการผลิตรถปิกอัพของเอเอทีมีกำลังการผลิตรวม 195,000 คัน และทำให้โรงงานเอเอทีมีศักยภาพในการผลิตรถได้ทั้งสิ้น 295,000 คันต่อปี ซึ่งรวมถึงการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลด้วย โดยปัจจุบันนอกจากจะผลิตรถฟอร์ด เรนเจอร์ และมาสด้า บีที-50 แล้วยังผลิต ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ,ฟอร์ด เฟียสต้า ,มาสด้า2 และมาสด้า 3 เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและเพื่อส่งออกไปยังตลาดอาเซียน รวมทั้งประเทศอื่นๆ ด้วย   
 สำหรับการลงทุนครั้งล่าสุดนี้ส่งผลให้ฟอร์ดและมาสด้ามีการลงทุนร่วมกันในเอเอทีเป็นมูลค่าเกือบ 6.2 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานครั้งแรกเมื่อปี 2538 โดยปีที่ผ่านมาฟอร์ดและมาสด้าได้ร่วมกันลงทุนมูลค่าประมาณ 1.08 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับสายการผลิตและจัดหาอุปกรณ์เพื่อการผลิตรถ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ และมาสด้า บีที-50 ใหม่
  นายปีเตอร์ ฟลีท ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าวว่า การลงทุนครั้งใหม่นี้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวที่ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี มีต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกของบริษัท ทั้งยังตอบสนองต่อความต้องการฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ที่มียอดจองนับตั้งแต่เปิดตัวในปลายปี 2554 จนถึงปัจจุบันที่มีกว่า 16,500 คัน และมีการส่งมอบไปมากกว่า 5,000 คันแล้ว 
  ด้านนายยูจิ มากามิเน่ ผู้อำนวยการบริหารอาวุโส มาสด้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น กล่าวว่าการลงทุนเพิ่มในครั้งนี้คือส่วนหนึ่งของการเป็นพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจระหว่างฟอร์ดและมาสด้า นอกจากนี้การลงทุนดังกล่าวยังช่วยให้ตอบสนองต่อความต้องการอย่างแข็งแกร่งที่มีต่อรถบีที-50 ใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
   นอกจากค่ายฟอร์ดและมาสด้าที่ลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตรถปิกอัพแล้ว ในส่วนของเชฟโรเลต นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จีเอ็มได้เพิ่มกำลังการผลิตในสายการผลิตที่ระยองเป็น 3 ผลัด ส่วนโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ก็จะเพิ่มเป็น 3 ผลัดเช่นเดียวกันในเดือนพฤษภาคม 2555
  ในภาพรวมการส่งออกรถกระบะโคโลราโดจะช่วยขยายตลาดรถยนต์ของจีเอ็มและชื่อเสียงของไทยในฐานะแหล่งผลิตรถยนต์ในตลาดระดับโลก ทั้งยังช่วยเพิ่มการจ้างงานสำหรับแรงงานที่มีทักษะในประเทศไทย และสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย
  นายแอพเฟล กล่าวว่า แม้ความต้องการรถยนต์ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่บริษัทก็ไม่กังวลกับเรื่องกำลังการผลิต เนื่องจากสายการผลิตรถยนต์และรถบรรทุกได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้
  "ประเทศไทยถือเป็นถิ่นกำเนิดของโคโลราโด ซึ่งนับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของที่ที่เป็นทั้งฐานการผลิตแห่งนี้ จึงไม่มีสถานที่ใดเหมาะสมสำหรับการทดสอบรถเท่าประเทศไทยอีก เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับรถกระบะขนาดกลาง"
  เช่นเดียวกับ นายจอห์น สตาดวิค ประธาน และ กรรมการผู้จัดการของจีเอ็ม ตะวันออกกลาง กล่าวว่า ได้มีการจัดทดสอบรถให้กับสื่อมวลชนในประเทศต่างๆ ,กลุ่มผู้แทนจำหน่าย และลูกค้าจากหลายประเทศในตะวันออกกลาง อาทิ อิรัก คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประมาณ 50 คน ซึ่งนอกจากจะได้ทดสอบสมรรถนะแล้ว ยังได้พาไปเยี่ยมชมฐานการผลิตของจีเอ็ม -เยี่ยมชมศูนย์การผลิตเครื่องยนต์ดีเซล หรือจีเอ็ม เพาเวอร์เทรน เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ประเทศไทย ใน จังหวัดระยองพร้อมรับทราบข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับแผนงานของเชฟโรเลตในส่วนของรถโค

โลราโดและเทรลเบลเซอร์ ในตลาดตะวันออกกลาง
  สำหรับรถปิกอัพในตระกูลโคโลราโดมีให้เลือก 26 รุ่น ประกอบไปด้วยซิงเกิลแค็บตอนเดียว,เอ็กซ์เทนเดดแค็บ ตอนครึ่ง และครูว์แค็บ 4 ประตู ที่มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนสองล้อหรือสี่ล้อ ยกสูง และธรรมดา มาพร้อมกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร โดยปัจจุบันมีความพร้อมที่จะส่งไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง รัสเซีย และอเมริกาใต้
  ทั้งนี้ จีเอ็ม ประเทศไทย ระบุว่าประมาณ 45 % ของกำลังการผลิตรวมของโคโลราโดในประเทศไทยจะจัดไว้สำหรับตลาดส่งออก โดยตัวเลขการผลิตโคโลราโดนับตั้งแต่วันที่เปิดตัวเดือนตุลาคม 2554 จนถึงปัจจุบันมีกว่า 18,576 คัน
 "การเยี่ยมชมโรงงานครั้งนี้น่าประทับใจมาก ถือเป็นโอกาสดีสำหรับจีเอ็ม ประเทศไทย ที่จะได้อวดโฉมรถโคโลราโด และเทรลเบลเซอร์ ใหม่ ในสายการผลิต ซึ่งกำลังจะเปิดตัวสู่ตลาดตะวันออกกลาง หากดูจากปฏิกิริยาเบื้องต้นของกลุ่มที่มาเยี่ยมชมโรงงาน พูดได้ว่ารถกระบะทั้งสองตระกูลจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตะวันออกกลาง"



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.