เป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปในวงวิชาการทางประวัติศาสตร์ศิลปะและสถาปัตยกรรมว่า ความนิยมในการสร้างหรือเลือกปางพระพุทธรูปมาเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีคตินิยมที่ไม่ต่างไปจากสมัยอยุธยาและสมัยก่อนหน้านั้นของสังคมไทยทุกยุค กล่าวคือ นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
แต่จากการศึกษาในรายละเอียดเฉพาะเจาะจงไปในสมัยรัชกาลที่ ๑โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหรือบูรณปฏิสังขรณ์โดยพระองค์เองโดยตรงหลายแห่ง กลับพบว่า พระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถมีแนวโน้มที่จะเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่น่าสนใจคือ วัดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีสถานะ บทบาท และความสำคัญมากทั้งสิ้น อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดสระเกศ เป็นต้น
ข้อเท็จจริงดังกล่าวนำมาสู่สมมติฐานที่ว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชนิยมที่จะทรงเลือกพระพุทธรูปปางสมาธิให้เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ
จากสมมติฐาน ได้นำมาสู่การศึกษาในบทความนี้ของผู้เขียนที่ต้องการจะหาคำตอบในประเด็นคำถามสำคัญ ๒ ประการ ดังต่อไปนี้
ประการที่ ๑ ผู้เขียนต้องการศึกษาตรวจสอบการสร้างหรือการเลือกพระประธานภายในพระอุโบสถของวัดที่รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหรือบูรณะโดยพระองค์เองว่า วัดทั้งหมดนั้นมีคตินิยมที่จะสร้างพระพุทธรูปประธานเป็นปางอะไร ระหว่างพระพุทธรูปปางมารวิชัย อันเป็นคตินิยมโดยทั่วไปของสังคมไทย หรือพระพุทธรูปปางสมาธิ ตามที่ได้ตั้งสมมติฐานในการศึกษาไว้
หากสมมติฐานเป็นจริง ย่อมทำให้ความเชื่อแต่เดิมที่เกี่ยวข้องกับงานช่างในยุคสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งมักถูกอธิบายโดยทั่วไปมาอย่างยาวนานแล้วว่า มีลักษณะสืบทอด ต่อเนื่อง หรือเลียนแบบคตินิยมมาจากงานช่างสมัยอยุธยาตอนปลายต้องเปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยก็ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกพระประธานภายในพระอุโบสถ
ประการที่ ๒ อันเป็นผลสืบเนื่องจากประเด็นก่อนหน้านี้ กล่าวคือ หากสมมติฐานในข้อแรกเป็นจริงแน่อนอน ย่อมทำให้เกิดประเด็นคำถามตามมาว่า เพราะเหตุใด หรือด้วยคติความเชื่ออย่างไร จึงทำให้รัชกาลที่ ๑ มีพระราชนิยมในการเลือกพระพุทธรูปประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
เพื่อที่จะตอบคำถามทั้ง ๒ ข้อข้างต้น สิ่งที่ต้องดำเนินการเป็นอย่างแรกคือ การหาข้อสรุปให้ได้ว่า มีวัดใดบ้างที่เป็นพระราชดำริโดยตรงของรัชกาลที่ ๑ และวัดใดไม่ใช่ เพื่อที่จะได้ทำการศึกษาถึงพระราชนิยมโดยเฉพาะของพระองค์ได้อย่างชัดเจน
สกุลช่างวังหลวง-วังหน้า ข้อควรพิจารณาในการศึกษางานช่างสมัยรัชกาลที่ ๑
ต้องเข้าใจร่วมกันในเบื้องต้นก่อนว่า ในวงวิชาการที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงงานช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ มักจะมองภาพงานช่างในยุคนี้ในแบบที่เป็นภาพรวมอย่างเป็นเอกภาพในเชิงความคิดและรูปแบบงานช่าง (สกุลช่าง) ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมดภายใต้พระราชดำริของรัชกาลที่ ๑
การมองแบบเหมารวมดังกล่าว ทำให้ละเลยอิทธิพลทางรูปแบบเชิงช่างบางประการที่เป็นลักษณะเฉพาะของ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้า) หรือแม้กระทั่งกลุ่มช่างของเจ้านายชั้นสูงพระองค์อื่นๆ ที่มีลักษณะที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งถือเป็นลักษณะเด่นสำคัญประการหนึ่งที่วงวิชาการทางสถาปัตยกรรมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อความแตกต่างนี้มากเท่าที่ควร
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งจากหลักฐานเอกสาร งานวิชาการหลายชิ้น ตลอดจนหลักฐานเชิงประจักษ์ในตัวงานสถาปัตยกรรมก็ได้แสดงให้เห็นอย่างค่อนข้างชัดเจนว่า งานช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ อย่างน้อย ควรที่จะต้องถูกอธิบายแยกออกเป็น ๒ สาย คือ สายของรัชกาลที่ ๑ (วังหลวง) และสายของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้า)
ถ้าเข้าใจประเด็นข้างต้น ก็จะเข้าใจประเด็นสำคัญของงานศึกษาพระพุทธรูปประธานในบทความชิ้นนี้ได้ในทันที เพราะถ้าเรามองทุกวัดว่าเป็นงานสมัยรัชกาลที่ ๑ แบบภาพรวม เราจะมองไม่เห็นนัยยะสำคัญของการเลือกพระประธานภายในพระอุโบสถของรัชกาลที่ ๑ ที่มีลักษณะเฉพาะเลย เนื่องจาก ในเชิงปริมาณแล้ว ส่วนใหญ่ของพระอุโบสถในยุคนี้ ยังคงเลือกพระประธานให้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเหมือนคตินิยมทั่วไปในอดีต
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามองแยกวัดที่สร้างหรือบูรณะโดยรัชกาลที่ ๑ โดยตรงออกจากวัดที่วังหน้าหรือเจ้านายพระองค์อื่นทรงสร้างหรือปฏิสังขรณ์ เราจะเริ่มมองเห็นนัยยะสำคัญของการเลือกพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถของรัชกาลที่ ๑
เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งที่เราควรหาในลำดับต่อไปก็คือ วัดแห่งใดบ้างที่รัชกาลที่ ๑ มีพระราชศรัทธาสร้างหรือปฏิสังขรณ์โดยตรงด้วยพระองค์เอง
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า วัดที่รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนาหรือโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์โดยพระองค์เองมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๒ วัด โดยเป็นวัดที่สถาปนาขึ้นใหม่ ๑ วัด คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่า ๑๑ วัด ได้แก่ วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนฯ) วัดเลียบ (วัดราชบุรณะ) วัดสระเกศ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) วัดบางว้าใหญ่ (วัดระฆัง) วัดแจ้ง (วัดอรุณ) วัดทองคลองบางกอกน้อย (วัดสุวรรณาราม) วัดพลับคลองบางกอกใหญ่ (วัดราชสิทธาราม) วัดคอกกระบือ (วัดยานนาวา) วัดศาลาสี่หน้า (วัดคูหาสวรรค์) และวัดสุวรรณดาราราม กรุงเก่า
อย่างไรก็ตาม วัดทั้ง ๑๒ แห่งข้างต้น สภาพในปัจจุบันย่อมมีความแตกต่างออกไปมากจากสมัยรัชกาลที่ ๑ บางแห่งถูกทำลายไปแล้ว เช่น วัดราชบุรณะ บางแห่งอาจมีการซ่อมแปลงและอาจมีการเปลี่ยนพระพุทธรูปประธานไป เช่น วัดราชาธิวาส เป็นต้น
ดังนั้น กระบวนการต่อไปที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ การหาหลักฐานเพื่อสืบค้นให้ได้ว่า ภายในพระอุโบสถของวัดทั้ง ๑๒ แห่งดังกล่าวนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใด และปางใด
พระพุทธรูปประธานปางสมาธิสมัยรัชกาลที่ ๑
จากการศึกษาบนหลักฐานเอกสารต่างๆ ทำให้พบข้อสรุปว่า ในจำนวน ๑๒ วัดที่รัชกาลที่ ๑ มีพระราชศรัทธาโดยตรงด้วยพระองค์เองในการสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์นั้น มีจำนวนถึง ๘ วัดที่พระประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนฯ วัดราชบุรณะ วัดสระเกศ วัดราชาธิวาส วัดระฆัง วัดยานนาวา และวัดคูหาสวรรค์ โดยมีเพียง ๓ วัดที่เป็นพระปางมารวิชัย คือ วัดสุวรรณาราม วัดอรุณ และวัดสุวรรณดาราราม กรุงเก่า และมี ๑ วัดที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นปางอะไร คือวัดราชสิทธาราม เนื่องจากพระประธานในปัจจุบัน คือ พระพุทธจุฬารักษ์ ถูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยรัชกาลที่ ๒ ทรงปั้นหุ่นพระเศียร และรัชกาลที่ ๓ ทรงปั้นส่วนพระองค์
พระประธาน ๘ วัดที่เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีความเป็นมาและหลักฐานยืนยันโดยสังเขป ดังต่อไปนี้
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระประธานภายในพระอุโบสถคือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทำจากหินสีเขียว ปางสมาธิ
รัชกาลที่ ๑ สมัยเมื่อดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาจักรี ได้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจัน ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อพระองค์ได้เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และโปรดเกล้าฯ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น โดยย้ายพระบรมมหาราชวังจากฝั่งกรุงธนบุรีมายังฝั่งพระนครในบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตย้ายมาจากโรงในพระราชวังเก่ามาประดิษฐานภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระเชตุพนฯ พระประธานคือ พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ ๑โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้มาจากพระอุโบสถวัดศาลาสี่หน้า
วัดราชบุรณะ เนื่องจากพระอุโบสถและพระประธานล้วนสร้างขึ้นใหม่หลังจากที่วัดนี้โดนระเบิดในคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้จำเป็นต้องหาหลักฐานอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ว่าพระประธานที่วัดแห่งนี้เป็นปางอะไร
จากการสำรวจพบว่ามีหลักฐาน ๒ ชิ้นที่แสดงว่าพระประธานวัดราชบุรณะเป็นปางสมาธิ
หลักฐานชิ้นแรกคือ ภาพถ่ายที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติภาพหนึ่ง ระบุคำอธิบายเอาไว้หลังภาพว่า เป็นพระประธานวัดราชบุรณะ โดยในภาพเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม อาจเกิดข้อโต้แย้งได้ถึงความน่าเชื่อถือของคำอธิบายภาพที่เก็บอยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้ เนื่องจากคำอธิบายภาพทั้งหลายล้วนเป็นการเขียนขึ้นโดยคนยุคหลังที่ไม่มีอะไรยืนยันแน่ชัดว่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องเสมอไป ฉะนั้นภาพถ่ายนี้จำเป็นจะต้องใช้เอกสารชิ้นอื่นที่เป็นอิสระเพื่อมายืนยันถึงความถูกต้องน่าเชื่อถือ
ในเวลาต่อมา ผู้วิจัยได้พบหลักฐานชิ้นที่ ๒ คือ แถลงการณ์คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งได้มีการบันทึกถาวรวัตถุภายในวัดราชบุรณะเอาไว้ว่ามีอะไรบ้างก่อนที่จะถูกระเบิดทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเนื้อหาภายในเอกสารชิ้นนี้ระบุเอาไว้ว่า ...พระพุทธรูปประธาน เป็นพระพุทธรูปหล่อปิดทอง มีพระอาการนั่งสมาธิ หน้าตัก ๕ ศอก ๗ นิ้ว...
ดังนั้น เมื่อพิจารณาร่วมกับภาพถ่ายเก่าในหอจดหมายเหตุแห่งชาติข้างต้น จึงเป็นอันยุติได้ว่าพระประธานวัดราชบุรณะคือ พระพุทธรูปปางสมาธิ
วัดสระเกศ พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งตามประวัติได้กล่าวเอาไว้ว่า รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ปั้นขึ้นใหม่โดยหุ้มพระประธานองค์เดิมเอาไว้
วัดสมอราย เป็นวัดที่ตามพระราชพงศาวดารระบุเอาไว้ว่า รัชกาลที่ ๑ และกรมพระชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์ โดยพระประธานภายในเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฏหลักฐานอ้างอิงว่าสร้างขึ้นเมื่อไร แต่เชื่อกันว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งนักวิชาการบางส่วนก็เชื่อว่า เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
อาจมีข้อสงสัยว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปเก่าภายในวัดซึ่งสร้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งอยุธยาตอนปลาย ฉะนั้นการบูรณปฏิสังขรณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยที่นำพระพุทธรูปองค์เดิมมาประดิษฐานไว้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรต่อพระราชดำริของรัชกาลที่ ๑
แน่นอน ข้อสังเกตข้างต้นมีส่วนถูก อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะคงพระพุทธรูปองค์เดิมเอาไว้ และคงพุทธลักษณะเดิมของพระพุทธรูปเอาไว้ด้วยโดยไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการที่พระองค์ทรงเลือกแล้วที่จะคงพุทธลักษณะเดิมอันเป็นปางสมาธิของพระพุทธรูปไว้ เพราะจากธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมาในสังคมไทย เราจะพบได้ทั่วไปว่า การเลือกหรืออัญเชิญพระพุทธรูปเก่ามาประดิษฐานใหม่นั้น หากพระพุทธรูปมีพุทธลักษณะที่ไม่ต้องตามพระราชนิยมของผู้สถาปนา (รวมไปถึงความนิยมของยุคสมัยด้วย) แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงเล็กน้อย พระพุทธรูปองค์นั้นก็จะถูกซ่อมแปลงในทันที ตัวอย่างเช่น การซ่อมนิ้วพระหัตถ์ที่ยาวไม่เสมอกันให้ยาวเสมอกัน หรือซ่อมแปลงพระพักตร์ หรือซ่อมแปลงขมวดพระเกศา และกรณีอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเราพบเห็นได้ทั่วไปในจารีตของสังคมไทยในอดีต และรวมถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์เองด้วย
ฉะนั้น หากรัชกาลที่ ๑ ไม่โปรดพุทธลักษณะอันเป็นปางสมาธิของพระประธานวัดสมอราย ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่พระองค์จะโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนพระประธานหรือซ่อมแปลงพระหัตถ์ แต่ในกรณีนี้ที่พระองค์ทรงเลือกที่จะคงพุทธลักษณะเดิมไว้ ย่อมเป็นการสะท้อนถึงพระราชนิยมของพระองค์เองที่มีต่อพระพุทธรูปปางสมาธิ
วัดระฆัง พระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะปางสมาธิ
จากหลักฐานต่างๆ เราไม่ทราบประวัติการก่อสร้างที่แน่ชัด ดังนั้นจึงอาศัยการวิเคราะห์ลักษณะประติมานวิทยาของพระพุทธรูปเป็นเครื่องมือในการกำหนดอายุสมัยแทน ซึ่งจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการทางด้านนี้ ได้ยืนยันว่าลักษณะของพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถวัดระฆังนั้น มีพระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีทรงเปลว พระขนงโก่ง มีขอบป้ายระหว่างเส้นขอบพระเนตรกับพระขนงเป็นแผ่น คล้ายกับพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลายมากกว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ และในขณะเดียวกันก็มีการทำสังฆาฏิที่เป็นแผ่นใหญ่มากและอยู่กึ่งกลางพระวรกาย ซึ่งลักษณะนี้เป็นแบบพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว มิใช่สมัยอยุธยาปลาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑
วัดยานนาวา พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งไม่มีประวัติระบุการก่อสร้างที่ชัดเจนเช่นเดียวกัน
มีเพียงหลักฐานที่ระบุเอาไว้ว่า รัชกาลที่ ๑ มีพระราชศรัทธาสร้างพระอุโบสถขึ้น ซึ่งหากคิดแบบทั่วไปพระประธานก็น่าที่จะต้องมีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เช่นกัน อย่างไรก็ตามการสรุปแบบนี้ย่อมไม่รัดกุมพอ เนื่องจากบางวัด เช่น วัดราชสิทธาราม ซึ่งก็มีการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เช่นกัน แต่องค์พระประธานกลับถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นต้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพุทธลักษณะซึ่งมีรูปแบบอย่างหุ่น ก็ทำให้มีนักวิชาการส่วนหนึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
วัดคูหาสวรรค์ พระประธานคือ พระพุทธเทวนฤมิตพิชิตมาร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
ตามประวัติระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า รัชกาลที่ ๑โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นพระประธานในวัดนี้แทนที่พระประธานองค์เดิมที่ได้อัญเชิญไปเป็นพระประธานที่วัดพระเชตุพนฯ
ส่วนวัดอีก ๓ แห่งที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยนั้น น่าสังเกตว่า วัดสุวรรณดาราราม ที่กรุงเก่า ที่แม้ในพระราชพงศาวดารระบุว่า รัชกาลที่ ๑โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ แต่ก็ระบุเอาไว้เช่นกันว่า วัดแห่งนี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรหสิงหนาทเป็นผู้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้ว วัดนี้ก็ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นพระราชดำริของพระองค์โดยตรงพระองค์เดียว
แม้ในบางวัดเช่นวัดสมอราย อาจจะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นพระราชดำริของรัชกาลที่ ๑ หรือวังหน้ากันแน่ และที่วัดยานนาวา อาจจะเป็นพระประธานที่หล่อขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ก็ตาม แต่จากปริมาณวัดที่มีความชัดเจนในแง่ที่มาของพระพุทธรูปก็ยังแสดงให้เห็นถึงพระราชนิยมในพระพุทธรูปปางสมาธิอย่างมีนัยยะสำคัญ
จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดย่อมแสดงให้เห็นว่า รัชกาลที่ ๑ มีพระราชนิยมในการเลือกพระประธานภายในพระอุโบสถให้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิมากกว่าปางมารวิชัย
พระพุทธรูปปางสมาธิ : ศีรษะแผ่นดินกลางชมพูทวีป ตามคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
เมื่อเป็นดังนี้ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ต้องวิเคราะห์ต่อมาคือ เพราะเหตุใด พระองค์จึงมีพระราชนิยมดังกล่าว อันเป็นคำถามอีกข้อที่งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการหาคำตอบ
จากการวิเคราะห์เชื่อมโยงกับคติการออกแบบก่อสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยเฉพาะที่วัดพระเชตุพนฯ ทำให้พบสมมติฐานว่า การเลือกพระพุทธรูปปางสมาธิที่วัดพระเชตุพนฯ นี้มีความเกี่ยวข้องกับคตินิยมในการออกแบบที่ต้องการให้ผังพุทธาวาสของวัดเป็นภาพจำลองของ ศีรษะแผ่นดิน กลาง มัชฌิมประเทศ ในชมพูทวีป ตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ไตรภูมิโลกวินิจฉัย และสมุดภาพไตรภูมิฉบับต่างๆ
กล่าวอย่างรวบรัด ไตรภูมิโลกวินิจฉัย เป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่มีความสำคัญมากต่อโลกทรรศน์ของผู้คนในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น และมีผลโดยตรงต่อการก่อรูปแนวความคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมในยุคสมัยดังกล่าว
รัชกาลที่ ๑โปรดเกล้าฯ ให้แต่งไตรภูมิโลกวินิจฉัยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๖ และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) ชำระขึ้นใหม่เป็นสำนวนที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๕ ซึ่งเนื้อหาในคัมภีร์ส่วนที่ว่าด้วยกำเนิดโลกและจักรวาลนั้น ได้มีการอธิบายโดยเน้นความสำคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับตำแหน่งของ โพธิบัลลังก์ ที่จะเกิดขึ้นบนใจกลาง ชมพูทวีป ในส่วนที่เรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน
ความสำคัญของ ชมพูทวีป คืออะไร ในไตรโลกวินิจฉัยได้กล่าวไว้ว่า
...เหตุว่าเปนที่เกิดแก่นสาร คือ พระพุทธิเจ้า พระประเจกกะโพธิเจ้า แลพุทธสาวก พุทธอุปถาก พุทธบิดา พุทธมานดา อสีติมะหาสาวก แลคะหบดีพราหมณมหาศาล ผู้มีสัมภารกุศลแลธรัพยมาก คือ ท้าวพญาบรมจักรพัตราธิราชเหล่านี้ย่อมบังเกิดแต่ในมัชฌิมประเทศแห่งเดียวนี้...
นอกจากนี้ยังได้อธิบายความสำคัญของ ศีรษะแผ่นดิน เอาไว้ว่า
...อันว่า ศีศะแผ่นดิน อันเปนที่ต้งงบันลังก์พระมหาโพธิเปนที่ ถวายพุทธาพิเศก ทรงพระวิมุดิเศวตรฉัตรนั้นเมื่อโลกยจฉิบหายที่อันนั้น ก็ฉิบหายต่อภายหลัง เมื่อโลกยต้งงขึ้นที่นั้นก็ต้งงขึ้นก่อน ที่ทังปวงจึ่งต้งงขึ้นตามต่อภายหลัง ที่นั้นจึ่งชื่อว่าศีศแผ่นดิน ด้วยอรรถว่าเปนประทานแก่พื้นชมภูทวีป...
ศีรษะแผ่นดิน ตามคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยยังปรากฏความสำคัญอีกประการคือ หลังจากเกิดศีรษะแผ่นดินขึ้นในโลกแล้ว ก่อนที่จะเกิดมนุษย์ ในแผ่นดินที่ตั้งโพธิบัลลังก์นี้จะปรากฏดอกบัวบุพนิมิตขึ้น ซึ่งจะแสดงว่า ในกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้กี่พระองค์ โดยจะมีพระพรหมจากชั้นสุทธาวาสเหาะมาดูบุพนิมิตดังกล่าว อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการกำเนิดโลกและพุทธศาสนา
แม้ว่าความเชื่อเหล่านี้จะมีปรากฏให้เห็นในคัมภีร์ทางศาสนาก่อนหน้านี้บ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีฉบับใดที่จะเน้นความสำคัญและมีรายละเอียดในเชิงเนื้อหา ตลอดจนคำอธิบายมากเท่ากับในไตรภูมิโลกวินิจฉัยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ความคิดนี้ได้ถูกเน้นขึ้นเป็นพิเศษสมัยรัชกาลที่ ๑
ความสำคัญดังกล่าวมิใช่จำกัดอยู่เพียงแค่ในมิติทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังสำคัญยิ่งต่อความคิดของชนชั้นนำไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ สำคัญยิ่งต่อนโยบายการฟื้นฟูพระศาสนาในสมัยรัชกาลที่ ๑ และสำคัญยิ่งต่อการสถาปนาอุดมการณ์รัฐขึ้นใหม่ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
ด้วยเหตุนี้ วัดสำคัญที่รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหรือบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ จึงถูกออกแบบให้เป็นภาพจำลองของแผนผังโครงสร้างชมพูทวีป ที่มีศีรษะแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของโพธิบัลลังก์อยู่ตรงกลาง ตามความเชื่อที่ปรากฏในไตรโลกวินิจฉัย เพื่อเป็นการจำลองพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในเชิงนามธรรมดังกล่าวให้ปรากฏขึ้นในเชิงรูปธรรมทางสถาปัตยกรรม
ตามคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยได้แสดงแผนผังโครงสร้างชมพูทวีปเอาไว้ซึ่งสรุปโดยสังเขปได้ดังต่อไปนี้
กลางแผ่นดิน ชมพูทวีป จะเป็นที่ตั้งของ โพธิบัลลังก์ ที่ถูกล้อมรอบด้วย มหาสถานทั้ง ๖ ถัดออกมาจะล้อมรอบด้วย อัฏฐมหาสถาน ถัดออกไปจะเป็น มหานครใหญ่ ชนบทนคร ป่าหิมพานต์ และ พื้นที่น้ำท่วม โดยลำดับ
ซึ่งมหาสถานทั้ง ๖ แห่งที่ล้อมรอบอยู่วงแรกนี้ เมื่อนับรวมเข้ากับโพธิบัลลังก์ ซึ่งก็นับเป็นมหาสถานหนึ่งด้วยแล้ว ก็คือคติเรื่อง สัตตมหาสถาน อันเป็นสถานที่เสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์ของพระพุทธเจ้าหลังการตรัสรู้ นั่นเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้
สัปดาห์ที่ ๑ เสด็จประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิที่ทรงตรัสรู้ (โพธิบัลลังก์)
สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จประทับที่ อนิมิสเจดีย์ ทิศอีสานของโพธิบัลลังก์ทรงยืนจ้องพระเนตรดูต้นมหาโพธิโดยมิได้กะพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน
สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จประทับที่ รัตนจงกรมเจดีย์ อยู่ระหว่างอนิมิสเจดีย์กับโพธิบัลลังก์ทรงนิมิตจงกรมขึ้น แล้วเสด็จจงกรมอยู่ที่นี้เป็นเวลา ๗ วัน
สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จประทับที่ รัตนฆรเจดีย์ ทิศปัจฉิมของโพธิบัลลังก์ประทับนั่งขัดสมาธิในเรือนแก้วซึ่งเทวดานิรมิตถวาย ทรงพิจารณาพระอภิธรรมตลอด ๗ วัน
สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่อว่า อชปาลนิโครธเจดีย์ ทิศตะวันออกของโพธิบัลลังก์ ซึ่งเป็นที่พักของคนเลี้ยงแพะ
สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิภายใต้ต้นจิก ชื่อว่า มุจลินทรเจดีย์ ทิศอาคเนย์ของโพธิบัลลังก์ ในสัปดาห์นี้มีพญานาคขึ้นมาแผ่พังพานบังลมและฝนให้แก่พระพุทธเจ้า
สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จไปประทับภายใต้ร่มไม้เกดโดยมีชื่อว่า ราชายตนะเจดีย์ ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ตลอด ๗ วัน ในสัปดาห์นี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง ที่สำคัญคือ พระอินทร์ถวายผลสมอ ตปุสสะ และภัลลิกะ พ่อค้า ๒ คนเข้าเฝ้าถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้า และปวารณาขอเป็นพุทธมามกะคนแรก จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงลูบพระเศียรและประทานพระเกศาให้แก่ทั้ง ๒ คน
การวางตำแหน่งของสัตตมหาสถานตามที่ปรากฏในไตรภูมิโลกวินิจฉัย จะจัดวางตำแหน่ง โพธิบัลลังก์ เอาไว้ตรงกลางและวางมหาสถานอีก ๖ แห่งไว้โดยรอบ
ถัดออกไปจากวงรอบของมหาสถานทั้ง ๖ แห่ง จะเป็นที่ตั้งของวงรอบ อัฏฐมหาสถาน อันเป็นสถานที่สำคัญ ๘ แห่งที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
มหาสถานอันดับ ๑ สถานที่ประสูติในป่าลุมพินีวัน
มหาสถานอันดับ ๒ โพธิบัลลังก์ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
มหาสถานอันดับ ๓ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์
มหาสถานอันดับ ๔ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษาในป่าพระองค์เดียว และมีช้างปาลิไลยก์คอยดูแล
มหาสถานอันดับ ๕ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานช้างธนบาลหัตถี ซึ่งพระเทวทัตปล่อยออกมาหมายทำร้ายพระองค์
มหาสถานอันดับ ๖ สถานที่ที่ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ทรมานติติตยนิครนถ์ที่เมืองสาวัตถี และเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มหาสถานอันดับ ๗ สถานที่ที่พระองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์คราวโปรดพุทธมารดา โดยเสด็จลงมาที่ประตูเมืองสังกัสสะ และพระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก (โลกวิวรณ์)
มหาสถานอันดับ ๘ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ระหว่างต้นรังคู่ในสาลวันอุทยาน เมืองกุสินารา
การวางตำแหน่งของอัฏฐมหาสถานตามที่ปรากฏในไตรภูมิโลกวินิจฉัย จะจัดวางตำแหน่ง โพธิบัลลังก์ อันหมายถึงเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ (มหาสถานอันดับที่ ๒) ด้วยนั้น เอาไว้ตรงกลาง และวางมหาสถานอีก ๗ แห่งไว้โดยรอบ
ถัดออกไปจากวงรอบนี้ จะเป็นการล้อมด้วย มหานครใหญ่ ๑ ชั้น และ ชนบทนคร อีก ๑ ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นวงรอบชั้นสุดท้าย โดยโครงสร้างทั้งหมดนับตั้งแต่ โพธิบัลลังก์ จนถึง ชนบทนคร จะเรียกรวมว่า มัชฌิมประเทศ ถัดออกไปจากพื้นที่ มัชฌิมประเทศ คือ ป่าหิมพานต์ และพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งจะเป็นพื้นที่ขอบนอกสุดของชมพูทวีป
โครงสร้างแผนผังในเชิงนามธรรมข้างต้นที่ถูกแปลงให้เป็นแผนผังเชิงรูปธรรมนั้น ผู้เขียนได้เคยศึกษาวิเคราะห์และเสนอเอาไว้เป็นบทความอย่างละเอียดแล้วในบทความชิ้นอื่น ดังนั้นจะไม่ขออธิบายโดยละเอียด ณ ที่นี้ แต่จะขอสรุปโดยย่อในส่วนที่เกี่ยวกับตำแหน่งพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถ ดังนี้
โครงสร้างดังกล่าวได้ถูกแปลงเข้าสู่แผนผังทางสถาปัตยกรรมของวัดพระเชตุพนฯ ในเขตพุทธาวาส โดยกำหนดให้ศูนย์กลางของแผนผังทางสถาปัตยกรรม ซึ่งก็คือตำแหน่งของพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถนั้นเป็นตำแหน่งของศีรษะแผ่นดิน ซึ่งคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยได้ระบุไว้ว่า คือตำแหน่งเดียวกับโพธิบัลลังก์
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ณ ตำแหน่งศูนย์กลางนั้นยังได้ถูกกำหนดให้เป็นตำแหน่งเดียวกันกับเหตุการณ์เสวยวิมุติสุขในสัปดาห์ที่ ๑ อันเป็นสัตตมหาสถานแห่งที่ ๑ และยังตรงกับเหตุการณ์ตรัสรู้ อันเป็นมหาสถานอันดับที่ ๒ ของอัฏฐมหาสถานด้วย
ที่โยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปปางสมาธิก็คือ พุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าในเหตุการณ์สำคัญทั้ง สอง ซึ่งได้มาซ้อนทับอยู่ในตำแหน่งเดียวกันนี้ เป็นพุทธลักษณะเดียวกันที่เป็นปางสมาธิ กล่าวคือ การเสวยวิมุติสุขที่เกิดขึ้น ณ สัตตมหาสถานอันดับที่ ๑ ตามพุทธประวัติคือ พระพุทธเจ้าจะประทับนั่งทำสมาธิอยู่บนโพธิบัลลังก์เป็นเวลา ๗ วัน ซึ่งก็คือปางสมาธิ ส่วนการล้อมรอบของ อัฏฐมหาสถาน ในชั้นถัดออกมา คัมภีร์ก็ระบุเอาไว้ให้ตำแหน่งศูนย์กลางคือ มหาสถานอันดับที่ ๒ อันเป็นพุทธประวัติตอนตรัสรู้ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปปางสมาธิเช่นเดียวกัน
แม้เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พุทธประวัติตอนตรัสรู้นิยมที่จะถูกแทนด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัยได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในวัฒนธรรมไทยเองและอีกหลายวัฒนธรรม เช่น พม่า เป็นต้น ก็มีคตินิยมในลักษณะดังกล่าวอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเช่นเดียวกันว่า พระพุทธรูปทั้ง ๒ ปางสามารถเป็นภาพตัวแทนของเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ได้เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อย้อนมาพิจารณาในกรณีของการจำลองโครงสร้างศีรษะแผ่นดินหรือโพธิบัลลังก์กลางชมพูทวีป ตามคัมภีร์ไตรโลกวินิจฉัย ซึ่งระบุเอาไว้ว่า ตำแหน่งศูนย์กลางซึ่งจะต้องแสดงเหตุการณ์สำคัญ ๒ เหตุการณ์ที่ซ้อนทับกัน คือ ตอนเสวยวิมุติสุขสัปดาห์ที่ ๑ (ตอนพระพุทธเจ้านั่งสมาธิใต้โพธิบัลลังก์) และเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ ทำให้ ถ้าเลือกที่จะใช้พระพุทธรูปปางมารวิชัยเพื่อแทนเหตุการณ์ตรัสรู้ ก็จะทำให้ขัดกับเหตุการณ์เสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่ ๑
ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่างในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงได้เลือกพระพุทธรูปปางสมาธิ (ซึ่งแทนพุทธประวัติตอนตรัสรู้ได้เช่นกัน) ขึ้นมาเป็นตัวแทนของเหตุการณ์ดังกล่าวแทนที่ปางมารวิชัยในแบบเดิม เพราะปางสมาธิจะทำให้การแสดงภาพเหตุการณ์ตอนตรัสรู้ไม่ขัดแย้งกับเหตุการณ์ตอนเสวยวิมุติสุขสัปดาห์ที่ ๑
ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่คำตอบ (ที่ยังคงเป็นสมมติฐานในเบื้องต้นที่ต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมอีก) ว่า ทำไมพระประธานภายในพระอุโบสถของวัดที่รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเมื่อเทียบเคียงตามแผนผังโครงสร้างในไตรภูมิโลกวินิจฉัยแล้วคือ ตำแหน่งของโพธิบัลลังก์ ศีรษะแผ่นดิน สัตตมหาสถานอันดับที่ ๑ และอัฏฐมหาสถานอันดับที่ ๒ จึงจำเป็นจะต้องเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เพราะพระพุทธรูปปางนี้คือ ปางที่สื่อสะท้อนถึงพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังเสวยวิมุติสุขบนโพธิบัลลังก์ และพุทธประวัติตอนตรัสรู้ นั่นเอง
การออกแบบในลักษณะดังกล่าว ใช่ว่าจะพบที่วัดพระเชตุพนฯ แห่งแรกก็หาไม่ แต่คติว่าด้วยการจำลองลักษณะชมพูทวีปเช่นนี้ อย่างน้อยเราได้พบมาแล้วที่การออกแบบพระอุโบสถวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี ในสมัยอยุธยาตอนปลายที่ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปประธานเป็นปางสมาธิ โดยมีภาพเขียนบนผนังด้านซ้ายและขวาเป็นภาพสัตตมหาสถานและอัฏฐมหาสถาน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่รัชกาลที่ ๑ จะมีพระราชนิยมในการออกแบบคติสัญลักษณ์ภายในวัดที่พระองค์มีพระราชดำริโดยตรงไปในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามข้อเสนอนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานบนการวิเคราะห์การออกแบบของวัดพระเชตุพนฯ เป็นหลัก ซึ่งวัดอื่นๆ ผู้เขียนยังมิได้ทำการศึกษาเทียบเคียงอย่างจริงจัง ฉะนั้น ความหมายของพระประธานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงสัญลักษณ์ในการจำลองศีรษะแผ่นดินกลางชมพูทวีป อาจเป็นเพียงความคิดที่ปรากฏที่วัดพระเชตุพนฯ เพียงแห่งเดียวก็เป็นได้ ส่วนวัดอื่นอาจจะเป็นเนื่องด้วยวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งคงต้องรอการศึกษาในรายละเอียดต่อไป
สรุป
รัชกาลที่ ๑ มีพระราชนิยมในการเลือกพระพุทธรูปเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งแตกต่างจากคตินิยมในอดีตที่จะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และแตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมในวงวิชาการทางประวัติศาสตร์ศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย เหตุผลหนึ่ง (ซึ่งอาจมีอีกหลายเหตุผล) ของพระราชนิยมดังกล่าวก็คือ
พระพุทธรูปปางสมาธิมีความสัมพันธ์กับคติสัญลักษณ์เรื่อง ศีรษะแผ่นดิน กลาง ชมพูทวีป ซึ่งเป็นแนวความคิดสำคัญในการออกแบบแผนผังวัดในสมัยรัชกาลที่ ๑